Sunday, December 14, 2014

สิ่งที่พบจากระยะทาง

การเดินทางกับเพื่อนๆยังเป็นเรื่องสนุกสนานเสมอ แต่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ

แตกต่างจากครั้งก่อนๆแค่ระยะทาง เพื่อนมาจากไทย ส่วนเราอยู่ญี่ปุ่น แต่มันทำให้ได้พบอะไรที่ต่างไปจากเดิมมากกว่าที่คิด

เมื่อครั้งที่อยู่ไทยก็ไม่ค่อยได้เจอกันหรอก แต่มันรู้สึกว่ายังอยู่ด้วยกัน จะเจอกันเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงจะไม่ได้เจอก็เหอะนะ

แต่พอมีระยะทางมากั้น รู้สึกว่าการพบกันครั้งนี้มันพิเศษ ตอนอยู่ไทยก็คุยผ่านเน็ตได้เหมือนกับที่นี่ แต่คราวนี้ด้วยระยะทางที่มาบัง ให้ความรู้สึกว่ายังไงก็ไม่มีทางเจอกันจริงๆได้ พอมีโอกาสแบบนี้ขึ้นมา มันสำคัญ มันทำให้อยากใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มที่สุด

ตอนอยู่ไทยเวลาไม่ได้เจอกันนานแล้วเจอกันก็ดีใจนะ แต่พอมาเป็นที่นี่ มันรู้สึกสำคัญกว่าเดิม มีความไม่แน่นอน ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ จะเป็นตอนไหนอีก จะมีอีกรึเปล่า

การเที่ยวครั้งนี้เลยรู้สึกเปลี่ยนไปมาก รู้สึกอยากช่วย อยากพาไปนั่นโน่นนี่ อยากคุย อยากทำทุกอย่างด้วยกัน ไม่เหมือนครั้งก่อนๆที่ยังไงก็ได้ เดินตาม ถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย ครั้งนี้รู้สึกว่าต้องทำ ต้องเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทำมันกำลังจะหลุดลอยไป

สิ่งสำคัญหลายๆอย่างนึกขึ้นได้ในการเดินทางครั้งนี้ เหมือนที่เขาว่ากันว่าถ้าทุกอย่างเป็นของตายก็ไม่เห็นความสำคัญซักที ครั้งนี้เหมือนระหว่างเที่ยวแต่ละวัน ได้นึกออกว่ามีอะไรสำคัญในอดีตที่เราเคยผ่านมาบ้าง เคยลืมอะไรไปบ้าง เรียกได้ว่าฉากเก่าๆที่ไม่เคยคิดจะนึก กลับกลายเป็นจำได้ เพราะมันอาจจะไม่มีครั้งต่อไปอีก รู้สึกดีที่จำอะไรซักอย่างได้ ถ้าไม่ได้เที่ยวครั้งนี้อาจจะหายไปเลย

ส่วนตัวให้ความสำคัญกับการพูดซึ่งๆหน้ามานานแล้ว แต่ครั้งนี้มันทำให้รู้ซึ้งจริงๆว่าการพูด มันสำคัญขนาดไหน เวลาผ่านมาเนิ่นนานกับการอ่าน การพิมพ์ติดต่อกัน ขณะเดียวกันโดยที่ไม่รู้ตัว มันเหมือนว่าค่อยๆมีปมล่องหนอะไรซักอย่างขดใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

แล้วพอวันแรก วินาทีแรกที่เจอกัน ได้คุยกัน แค่ประโยคแรกก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันเบา มันโล่งมาก เหมือนปมล่องหนที่สะสมมานานมันคลายออกกลายเป็นความตื่นเต้นที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันเป็นความรู้สึกใหม่จริงๆนะ แล้วก็ทำให้ได้คิดในวันนี้ด้วยว่าที่ผ่านมามันมีปมที่ว่าอยู่

วันเวลาที่ไทยเหมือนว่ามันจะดำเนินต่อไปตลอดกาลไม่มีวันจบสิ้น แต่วันเวลาที่นี่มันจะหมด มันจะจบลง

วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว ปกติแล้วก็จะเป็นวันเหน็ดเหนื่อย วันที่น่าเบื่อนิดๆที่ต้องเดินทางกลับทางเดิม กลับไปหางานที่สุมรออยู่

ครั้งนี้เป็นวันสุดท้ายที่ต่างจากเดิม ต่างมากอย่างไม่น่าเชื่อ งานมีรอเหมือนเดิม เดินทางกลับ ก็มีเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ไม่ได้กลับด้วยกัน ไม่ได้กลับสู่ชีวิตประจำวันด้วยกัน

เพื่อนๆกำลังจะ "หายไป" ไม่มีอีกแล้วเสียงคุยกันตลอดทาง การคุยกันซึ่งๆหน้ากำลังจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป จะไม่ได้เห็นหน้าแบบ หน้าจริงๆ มองตากันจริงๆอีกแล้ว เวลากำลังจะหมดเหมือนการเที่ยวครั้งอื่นๆ แต่ครั้งนี้ไม่ได้หมดอย่างเดียว แต่เหมือนกำลังจะเสียหลายๆอย่างไปด้วย โอกาสหลายอย่างกำลังจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไม่มีโอกาสพร้อมๆกัน ยิ่งทำให้ทุกนาทีมีค่าขึ้น

ระหว่างเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้เดินไปตามจุดหมาย หามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆเหมือนเคยแล้ว แต่รู้สึกว่าเราได้มองเพื่อน ได้รู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มองได้ ที่มองคือมองช่วงเวลาร่วมกัน มองทุกสิ่งที่กำลังจะหายไป ทำให้ยิ่งอยากคุยกับเพื่อนให้มากที่สุด จากแค่เพื่อนร่วมเดินทางที่จะไปสถานที่ต่างๆด้วยกัน ครั้งนี้กลายเป็นสิ่งที่ต้องแคร์ อยากดูแลให้ดีที่สุด เวลามองหน้าได้มองหน้าจริงๆไม่ใช่แค่มองผ่านๆว่าเป็นใคร อยากจะจำ อยากจะเก็บภาพหน้าตาของเพื่อนไว้ให้คุ้มค่า

ช่วงเวลาสุดท้ายจริงก็มาถึงจนได้ สมัยเที่ยวที่ไทยขากลับจะเป็นช่วงเหนื่อยหน่าย ไม่ได้สนุกอะไร ใจนึกถึงวันอันน่าเบื่อที่จะตามมา ถึงที่หมายก็แยกย้ายไม่ก็หาอะไรกินกันอีกนิด

แต่แปลก ครั้งนี้ความรู้สึกเบื่อเหนื่อยที่ว่า มันก็น่าจะมีนะ แต่แทบไม่รู้สึกเลย เพราะมันมีความรู้สึกใหม่มาทับจนมิด พอเพื่อนๆหายไปหมดรู้สึกเหมือนรอบๆตัวหยุดนิ่ง เหมือนอากาศหยุดไหลจนรู้สึกได้ มีสิ่งที่หายไปและถึงอยากได้กลับมาก็เอาคืนมาไม่ได้ดั่งใจ จากเบากลายเป็นหนักเหมือนเดิม เหมือนปมค่อยๆกลับมาแต่ยังไม่ล่องหน (แต่ตอนนี้น่าจะล่องหนแล้ว)

เดินบนฟุตบาทท่ามกลางอากาศหนาวๆ แต่ครั้งนี้มีเสียงฝีเท้าแค่ของตัวเอง มันเหมือนโลกเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเมืองรอบๆตัวได้ชัดเจนเกินไป วันที่ผ่านมาเหมือนมีเสียงเพื่อนๆห่อหุ้มโลกรอบตัวอยู่ตลอด พอหายไปเหมือนหลุดออกจากภวังค์ ทีนี้เวลาได้ยินเสียงอะไรคล้ายๆเสียงเพื่อนบางคน หรือเห็นใครหน้าเหมือนเพื่อนบางคนก็ตกใจ เหมือนใจหายแว่บขึ้นมาแป๊บๆแล้วก็กลายเป็นผิดหวัง

อดคิดไม่ได้ว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกรึเปล่า ถึงคิดได้มันก็สายไปแล้วแหละแต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าได้ให้ความสำคัญกับเพื่อนเต็มที่จริงๆไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่ได้ทำน่าจะมีไม่มากหรอกมั้ง แล้วทำให้ได้คิดด้วยว่าถ้ามีครั้งต่อไปจะทำอะไรกันดี แค่คิดก็รู้สึกน่าสนุกพิลึก

ที่ผ่านมาเราเคยมี timeline ร่วมกันกับเพื่อนคนไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ กลับกลายเป็นนึกออก ยิ่งทำให้รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเพื่อนเป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ วันนึงอาจจะคนนั้นบ้าง อีกวันอาจมีเหตุการณ์ร่วมกันกับอีกคนบ้าง บางคนโผล่มาใน timeline เป็นประจำ บางคนไม่ค่อยเจอเลย บางคนนานๆได้ใช้เวลาร่วมกันทีแต่ก็เข้ามาในชีวิตบ่อยไม่เคยหายไป ภาพจากชีวิตมหาลัยที่มีเพื่อนมันชัดขึ้น เราเคยทำแบบนั้นแบบนี้ร่วมกันมานี่นา

เป็นสิ่งใหม่ๆที่พบได้เพราะเพียงแค่ว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือระยะทางมันไกลจากกัน ไม่น่าเชื่อจริงๆนะ

Sunday, September 28, 2014

วิธีทำซอสมะเขือเทศสด แบบ divide and conquer

คุณประสบปัญหานี้ใช่หรือไม่ ทำสปาเก็ตตี้ ใช้ซอสมะเขือเทศกระป๋อง มันผ่านการอัดกระป๋องซะจนไม่เหลือความสดชื่นเลย ทำซอสมะเขือเทศเองไม่ยากอย่างที่คิด แถมยังรู้สึกดี feel good กับสุขภาพ

วันนี้เราจะมาลองทำซอสมะเขือเทศสดโดยใช้ขั้นตอนวิธีแบ่งแยกและเอาชนะ (divide and conquer) เพื่อให้ได้ซอสมะเขือเทศสดที่ทั้งสดและเข้มข้นพร้อมๆกันได้ *ไม่ต้องใช้เครื่องปั่น!*

1. เทมะเขือเทศหั่นลงไปในหม้อ (นี่ 10 กว่าลูก)



Monday, September 22, 2014

ผิดสัญญาอีกครั้ง อีกครั้ง

หลังเที่ยงคืนแห่งการต่อสู้ที่เจอทุกวันจนชิน วันนี้ก็เหมือนกัน ตอนนี้จะตี 4 แล้ว
แต่ในที่สุดก็มาถึงจุดๆนี้ จุดที่ต้องตัดใจซะละ

คนเรารู้สึกว่าจะมีหลายๆอย่างที่พยายามทำแค่ไหนก็ไม่ได้ซะที

อย่างของผมก็คือการแต่งเพลง... Vocal!

คืนแล้วคืนเล่าผ่านไปกับการสร้างโปรเจคใหม่ โยนเครื่องดนตรีลงไปสองสามชิ้น เอาล่ะสิเริ่มจากไหนดี กลองมั้ย เบสมั้ย หรือเมโลดี้ก่อนดี อ้าวเริ่มเยอะ แล้วเนื้อร้องอยู่ไหน เว้นยังไง หรือจะมี placeholder ดี แล้วไม่นานก็ตัน เซฟ...

บางวัน สร้างโปรเจคใหม่ เหมือนเดิม แต่ทีนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนจอเลยหลังจากนั่งนิ่งมา 1 ชม. ตัน ไม่เซฟ...

บางวัน ยิ่งลงเมโลดี้ ยิ่ง cheesy ขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากเก็บไว้ ตัน ไม่เซฟ...

บางวันยิ่งคิดออกแต่ชื่อเพลงกับบรรยากาศ เซฟไฟล์เปล่าเพื่อแค่ให้จำชื่อเพลงได้

บางวันเริ่มมาเมโลดี้อย่างป๊อป แปปๆกลองเริ่มหนัก เบสเริ่ม Electro กลายพันธุ์เป็น Electro Pop แล้วก็กลายเป็น EDM  จริงๆ ตัน เซฟ...

เดือนแล้วเดือนเล่า ผ่านไปผ่านไปทีละเดือนยิ่งสิ้นหวัง กี่เดือนยังจำแทบไม่ได้เพราะมันเยอะ 3 มั้ง หรือ 5 เดือนแล้วไม่รู้

ยิ่งเข้าใกล้เดือนสุดท้าย ทุกอย่างยิ่งเริ่มมารุมไม่หยุดไม่หย่อน

พ่อแม่มาเยี่ยมรัวขึ้น พี่เริ่มเล่นเกมรัวขึ้น ไม่มีใครเข้าใจว่าแต่งเพลงมันต้องเงียบติส และใช้เวลา Focus ต่อเนื่อง 3 ชม.+ เหมือนงานโปรแกรมเมอร์ ไม่ใช่เดี๋ยวก็คุย เดี๋ยวก็กินข้าว เดี๋ยวก็โน่นนี่ พ่อแม่ก็ชอบไล่ไปนอน ทั้งๆที่มีแค่กลางคืนนี่แหละที่เหมาะสุดที่จะทำ..​ (นี่! มีหน้ามาโทษคนอื่นด้วย แต่อยากพิมพ์อะ)

หมดกัน มาถึงสัปดาห์สุดท้าย ตอนนี้ distraction ครบทุกอย่างสลับกันรุมล้อม ในที่สุดก็มาถึงคืนวันจันทร์ (ที่จริงอังคารแล้ว) ที่คิด perfect ที่สุด พ่อแม่นอนแล้ว พ่อไม่กรน พี่ไม่อยู่ ห้องเงียบกริบ

งัดทุก shortcut ที่เป็นไปได้ เครื่องดนตรีเอาที่เสียงอิ่มสุดในตัวมันเองโดยที่ไม่ต้องปรับมาก... เปียโน คอร์ดตัวเดียวพอ เมโลดี้งมแหลก

ฉากเดิมย้อนมา 1 2 3 ชม. ผ่านไป ตัน เพิ่งมาคิดได้ทีหลังอีกว่าเพลงเกี่ยวกับอะไรยังไม่รู้เลย ตกลงควรมีเมโลดี้ก่อน หรือความหมายก่อน หรือธีมก่อน หรืออะไรกันแน่

ยอมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีครั้งต่อไปจนได้สิ ถ้าไม่เป็นยอดมนุษย์สงสัยจะทำไม่ได้ อีกแค่ 5 วัน เป็นไปไม่ได้ชัดๆ

วันนี้ที่ perfect จริงก็ยังทำไม่ได้ สงสัยจะอ่อนด๋อยจริง

Thursday, September 18, 2014

คืนก่อนปล่อยเกม กว่าจะมาถึงคืนนี้ ย้อนไปยันอนุบาล

พรุ่งนี้แล้วที่จะได้กดปุ่ม "Release this version" เพื่อปล่อยเกมจริงจังเกมแรกที่ทำมานาน

วันนี้มีเรื่องยาวๆจะมาเล่า ยาวจริงๆจนต้องทำเป็นตัวสีแดง ถ้าคิดจะอ่านไปหาอะไรมากินไปด้วยก็ได้นะ 555 จริงๆเขียนได้ยาวกว่านี้ 4 เท่าเลยถ้าเอาละเอียดจริง แต่เอาแต่ที่เกี่ยวกับคืนนี้ดีกว่าเนอะ โพสต์นี้ อักษรเน้นๆ ภาพไม่มี ไม่แคร์สื่อ

ส่วนมากเรื่องที่เกี่ยวกับทำเกมนี่จะไปลงใน Blog ของทีม http://blog.exceed7.com/ ไม่เคยเอามาลงที่นี่เลย แต่นี่พิเศษหน่อย ขอลงที่นี่ในแบบที่ละเอียดกว่าในบลอคนั้น ก็แล้วกัน (แต่บลอคนั้น ก็มีสิ่งที่ที่นี่ไม่มีเหมือนกัน..)

แต่ที่แน่ๆ จะไม่ขอโฆษณาเกมที่จะปล่อยคืนนี้ดีกว่า...

ในคืนนี้ภาพมันย้อนกลับไปไกล ไกลถึงอนุบาล!

จบเกม


ตอนอนุบาลก็มีเครื่องเกมของญาติ คือเครื่องแฟมิลี่มั้ง มีตลับเกม 99 in 1 อยู่หลายอัน ก็ได้เล่นหลายๆเกมไปวันๆ แต่เกมจริงๆมันไม่ถึง 99 หรอก บางอันเข้าไปก็ Contra เหมือนกันแต่ไปโผล่ด่านสุดท้ายเลย 555  และแล้วจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต (ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่ามันเป็นจุดเปลี่ยน) ก็มาถึง เมื่อรู้ว่าเกมที่เล่นๆเนี่ย มันมี "ฉากจบ" ! คือเกมสมัยก่อนมันยากมากจนไม่ได้เอะใจว่ามันจบเกมได้ จนกระทั่งได้เล่น Rockman 5 จนจบเกม ถึงได้รู้ว่ามันรู้สึกดีขนาดไหน.. (ต่อจากนั้นก็ไปไล่จบเกมเกมอื่นๆ ซึ่งส่วนมากก็จะไม่จบอยู่ดี ยากเกินไม่ก็อ่านไม่ออก)

เมื่อพ่อแม่ไม่ให้เล่นเกมต่อ สิ่งที่มาทดแทน (นอกจากเลโก้) คือ "เกมกระดาษ"

คือไม่ใช่วาดเป็นเกมแล้วเล่นได้นะ แต่เป็นวาดเล่นจริงๆ เล่นไม่ได้ วาดเหมือนกับว่าเป็นฉากนึงของเกมที่มโนขึ้นมาเอง วาดฉากแผนที่โลก วาดเมนู มี HP MP Lv. มีชื่อพระเอกนางเอก ลอกมาจากเกมไฟนอลที่เล่นมา วาดเสร็จแล้วก็ดูเล่น มันรู้สึกตื่นเต้นดีนะ 555 แล้วจำนวนสมุดก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นๆ เริ่มมีเกมภาคต่อจากเล่มอื่นด้วย ไปกันใหญ่ละ แต่นี่แหละคือ Game Developement แรกในชีวิตจริงๆ แต่ตอนนั้นคงไม่ได้คิดอะไรหรอก

เกมเต้น และมิวสิคเกม


เข้าสู่ยุคที่เกม DDR เกมเต้น 4 ปุ่มดังกระฉ่อน จนมีตู้แท้ภาค 2 มาตั้งที่อุดรธานีด้วยแหละ ถ้าไม่เล่นตู้ก็มีร้านบนห้างมากมายที่มีแผ่นเต้นเรียงรายรอให้เราไปเล่น เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดนึงที่ค่อยๆดึงตัวเองเข้าวงการมิวสิคเกม และทำให้นับถือนักแต่งเพลงในเกม จนกระทั่งอยากลองแต่งมั่งในที่สุด

สมัยนั้นไปที่เครื่องไหนก็จะได้เห็นคนเล่นเพลง Boom Boom Dollar.. บู้มๆ บูมๆ ฉันจะแลกกับดอลล่าร์ ถ้ายากขึ้นมาก็จะเป็น Butterfly อาอียาอียาย อยู่ดีๆนะบัตเตอฟลาย , Hero, B4U แต่ถ้าอยากหล่อจริงต้องเพลง Paranoia!

เพลวัน พุธ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้นที่เล่นได้


มาถึงยุคที่ร้านเกมเฟื่องฟู เรียกได้ว่าทุกเสาร์อาทิตย์คือพกแผ่นเซฟไปเล่นเกมที่ร้าน ปลูกผักจีบสาวขุดเหมืองได้สองสามวันก็หมด ชม. เล่นแล้ว หันไปข้างหลังเห็นคนเล่น Final 8 อยู่ ในที่สุดก็ตื้อจนได้เครื่องเกมมาเล่นที่บ้านจนได้ แต่พ่อแม่ดันมีกฏว่าเล่นได้แค่พุธ เสาร์ อาทิตย์ เลยทำให้เซ็งมากเพราะมีเกมต้องเล่นเยอะ ไปๆมาๆพอพิสูจน์ได้ว่าเล่นทุกวันแล้วเกรดขึ้น ก็เลยเล่นได้ทุกวัน เย้ จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้ผลการเรียนสูงขึ้น

เมื่อมีเวลาเล่นมากขึ้น นอกจากจะได้ลุยเล่นเกมเพล 1 มากมาย ตอนนี้เป็นช่วงที่นั่งเล่นเกม DDR บนจอย (ไม่มีตังซื้อแผ่นเต้น) ไล่เก็บ SS ไปแต่ละเพลงเพื่อเติมหน้า Records ให้เปล่งประกาย เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้ได้รู้จักจังหวะของตัวโน้ตแบบต่างๆขึ้นมาก พร้อมกับได้เล่นหลายๆเกมโดยใช้บทสรุป ทำให้ได้เห็น Game Design จากมุมมองกว้างๆ แต่ละฉากมีการออกแบบ มีการซ่อนอะไรยังไง (แน่นอนว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรแบบนี้เลย 555)

Download และ Mp3


จบสิ้นกันทีกับการที่ไปตาลุกวาวที่จะได้เล่น Windows 98 ที่สำนักงานพ่อ (ที่บ้านมีแค่ Windows 3.11 ที่วันๆนั่ง Paint เล่นกับเปลี่ยน BG เล่น อ้อ มีเกมดีๆบน Dos เยอะเลยเช่น Commander Keen) ในที่สุดก็มีคอมเป็นของตัวเองแถมยังเป็น Windows XP ซะด้วย ธีมสีน้ำเงินมันช่างสดใสจริงๆ ไม่ช้าก็ได้รู้จักคำว่า Download ซึ่งมากับคำว่าเน็ต (Free TOT) อยากจะได้อะไรก็ได้ ในที่สุดก็ได้ค้นพบ Mp3 และเว็บที่รวบรวม "เพลงเกม" ไว้.. จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตมาถึง ประหนึ่งระลึกชาติได้ เกมที่เล่นมาทั้งหมดสมัยเด็กๆที่ยังอ่านไม่ออก ตอนนี้อ่านออกและจำได้แล้ว ระหว่างฟังเพลงฉากต่างๆมันไหลกลับเข้ามาในหัวเหมือนเพิ่งเล่นเสร็จเมื่อวาน พูดได้ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่อยากทำเพลงเจ๋งๆแบบนี้ได้บ้าง และในที่สุดก็ทำให้ได้เล่นโปรแกรมแต่งเพลงในตอนเรียน ปี 4 ซึ่งถึงจะเริ่มช้าไปหน่อย แต่ก็ได้เริ่มละกัน

RMXP


ไปร้านหนังสือ เจอหนังสือสอนทำเกมด้วยโปรแกรม RMXP เลยได้เรื่องเลย หลายวันไม่หลับไม่นอน นั่งสร้างโลกของตัวเองอยู่ในโปรแกรมนี้ ทำเสร็จแล้วพี่ก็จะมาเล่นโดยโหลดเซฟที่เล่นค้างไว้ พอถึงจุดสุดท้ายที่ไปได้ (ไปต่อไม่ได้เพราะยังไมได้ทำต่อ) ก็จะเซฟที่จุดเซฟ แล้วทำต่อ วนไปวนมาแบบนี้ สนุกดี

โปรเจคทำแล้วทิ้งไปหลายอย่าง (แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ใช้เครื่องมือ Adobe เป็น) ตอน ม.4 เพิ่งได้เรียน รด. เลยทำเกม รด. ชื่อเกม "เอกราช" ขึ้นมา โปรเจคนี้เป็นจุดเปลี่ยนเพราะเป็นการทำเกมจริงจังเกมแรกที่คิดเนื้อเรื่อง คิดระบบทุกอย่าง ออกแบบเมือง ออกแบบแผนที่เอง แต่สุดท้ายมันก็ไม่เสร็จเมื่อถึงเวลาต้องเข้ามหาลัย เวลาทำโปรเจคนี้ต่อก็เริ่มหายไป... (+เนื้อเรื่องกากมากจนต่อไม่ได้ 555)

มาลองเปิดอีกทีตอนประมาณ ปี 4 ก็พบว่ามันรันใน Windows 8 ไม่ได้แล้วด้วย ต้องลองลง XP ซักวัน

Game Online


เข้าสู่ยุคเกมออนไลน์ก็ติดงอมแงมถ้าเล่าละเอียดคงไม่หมดแน่นอนกับความทรงจำใน RO และ Maple Story นอกจากนี้ ได้พบ O2Jam ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดที่ยกระดับจาก DDR บนจอย มาเป็นมิวสิคเกมของจริงซึ่งมีตั้ง 7 ปุ่ม

นี่เป็นจุดที่เรียกได้ว่ากลายเป็นมิวสิคเกมเมอร์ตัวจริงในวินาทีที่ฝึกฝนเพลง Electro Fantasy HD (ไม่ใช่ SHD) จนผ่านได้ รู้สึกดีมากๆ ดีจนติดใจความรู้สึกนี้ ที่อยู่ๆเราก็ทำบางสิ่งบางอย่างได้ ทั้งๆที่ยังจำได้อยู่เลยว่าไม่เคยทำได้ มิวสิคเกมในช่วงเวลานี้ได้เป็นพื้นฐานของการฝึกทุกอย่างที่ตามมาในอนาคต เช่นแต่งเพลง วาดรูป ควงปากกา ฯลฯ มันเริ่มต้นมาจากมิวสิคเกม!

เอาวิศวะคอม!


ที่จริงก็ไม่รู้จะเอาอะไร แต่ลองคิดดูที่ผ่านๆมาวิศวะคอมน่าจะใกล้สุดเพราะวันๆเล่นแต่เกมกับคอม ก็เลยเอาวิศวะคอม เสียวอย่างเดียวที่โปรแกรมมิ่งเป็นแค่ HTML โง่ๆ แต่มีคนบอกว่าไม่เป็นไรเขาสอนอยู่ดีก็เลยเอาเลย

เข้าไปแล้วได้เจอภาษา C# เป็นภาษาแรก รู้สึกดีที่เราสามารถออกแบบให้มันทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ รู้สึกคล้ายๆตอนได้สัมผัส RMXP ครั้งแรก แต่นี่เอนกประสงค์กว่า 

พอได้เรียน GUI ร้อนวิชาจนถึงกับทำโปรแกรม Technika E ขึ้นมา ซึ่งเป็นโปรแกรม Browse เล่นไฟล์วิดิโอเกม Technika ตามเพลงกับระดับความยากดีๆนี่เอง ไปเล่นตู้บ่อยๆไม่ได้ แพง แถมยากอีก จิ้มจอคอมไปก่อน 555

Exceed Camp


มามหาลัยพร้อมกับทิ้งโปรเจค "เอกราช" ไว้เบื้องหลัง ไม่คิดว่าจะมาเจอคนที่อยากทำเกมอีก ค่าย Exceed Camp นี่เป็นค่ายคอมที่ถ้าไม่เข้าจะเรียนไม่จบ จะจับกลุ่มสุ่มมารวมกันให้ทำของขายในวันสุดท้าย (เงินปลอม) เกมที่ทำขึ้นมา ชนะเลิศ ขายได้อันดับ 1

แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้ไม่ใช่ยอดขาย เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้เห็นคนเล่นเกมเรา เล่นอย่างมันส์เลย ยิ้มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน (มันเป็นเกมสู้กันสองคน) ไม่เคยได้ความรู้สึกเห็นลูกค้ามาเล่นแบบนี้มาก่อน จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้อยากทำเกมขึ้นมาจริงๆ อยากเห็นคนเล่นแบบนี้อีกจัง

ตัวละครและระบบการเล่นของเกมที่ทำในค่ายนี้ กลายเป็นฐานและเติบโตมาจนกลายเป็นเกมที่จะปล่อยในวันพรุ่งนี้ในที่สุด!

Stepmania Technika Cytus etc.


ช่วงนี้ได้รู้จักมิวสิคเกมเด็ดๆเยอะขึ้น โดยเฉพาะ Stepmania ที่ได้เข้าไปทำโน้ตเพลงส่งไปร่วมสนุกกับ Pack ในเว็บบอร์ดต่างๆเยอะจนเป็นที่ยอมรับว่าทำโน้ตสนุก (จนได้ใช้ความสามารถนี้มาทำงานกับ Thapster ซึ่งก็ใช้ด้วยกันได้นิดหน่อย)

จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้เปลี่ยนความคิด จากที่อยากแต่งเพลงเพราะต้องใช้ประกอบเกมตัวเอง เปลี่ยนเป็น ถ้าได้แต่ง "เพลงฟัง" ขึ้นมา แล้วอยู่ในมิวสิคเกมเหมือนศิลปินในเกมเหล่านี้ มันก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อยเลยนะ!

ไม่ใช่แค่อยากแต่งเพลงฟังเท่านั้น มันยังทำให้เกิดความรู้สึก.. อยากทำมิวสิคเกมของตัวเอง! แต่คงต้องใช้งบมหาศาลแน่เลย

ส่วน Technika เป็นจุดเปลี่ยนที่อยากทำฉากหลังสวยๆงามๆแบบนั้นให้ได้บ้าง ทำให้ได้มารู้จักกับโปรแกรม After Effects ในที่สุดตอนปี 4

แข่ง


หลังจบค่ายอารมณ์ไม่จบ ทีมฟอร์มขึ้นมาเพื่อทำเกมเข้าแข่งงานต่างๆเช่น NSC ทุกๆปี จนในที่สุดก็ชนะในตอนที่เรียนอยู่ ปี 3 จนได้ด้วยเกม "โป้งแปะ" ปลาบปลื้มมาก จุดนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รู้ว่าเราก็เข้าขั้นนะ แถมยังลับสกิลทำเกมและ Optimize สิ่งต่างๆให้เฉียบคม แต่มันยังมีอะไรขาดอยู่อีกอย่างคือ..

แล้วคนอื่นๆล่ะคิดยังไง


เกมที่เราทำไปแข่ง มันก็ทำเอาใจกรรมการ แล้วคนอื่นๆล่ะ? ตอนนี้เรียนอยู่ ปี 4 ทุกคนวุ่นกับการทำโปรเจคจบ แต่ก็คิดกันได้ว่าก่อนที่จะสายไป ขอรวมทีมเดิมมาทำโปรเจคส่งท้ายเพื่อขายจริงๆดูมั้ย อยากจะรู้ว่าคนอื่นคิดยังไง อยากจะรู้ว่าการขายจริงต้องใช้ฝีมืออะไรเพิ่ม...

และแล้วโปรเจคโค้ดเนม Factora ก็เริ่มขึ้น แต่เรียนจบแล้วก็ทำไม่เสร็จ จนกระทั่ง

เอื่อยเฉื่อย


ในปีแรกหลังจากจบ วุ่นวายกับการหางาน และเพลิดเพลินกับการทำงาน แผนที่ว่าจะทำเกมหลังจากเวลางานก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เลิกงานใครๆก็อยากพักเล่นเกมดูซีรีย์ ตารางเวลาที่วางไว้ไม่มีใครทำตาม เกมเดินไปช้ามาก ส่วนตัวก็ยังตามงานไม่เป็นด้วยแหละ มีช่วง 2 เดือนนึง ที่ลองไม่ทวงอะไรเลย ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นจริงๆถ้าไม่ทวงให้ทำงาน (เป็นที่มาของสโลแกนทีม "Let's make something happen." มันแปลได้อีกนัยนึงว่า ถ้ากูไม่ทำมันก็จะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย แสรดด) และก็มาถึงจุดแตกหัก ณ ปีใหม่คือ

เกมแมร่งไม่สนุกเลย!


หลอกตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ว่า Factora ที่ค่อยๆกระเตื้องมาจนถึงปีใหม่นี่มันไม่สนุกซักนิด แล้วทำไมเพิ่งมารู้ เพราะขาดอย่างเดียวคือการ Prototyping...

คืนนั้นจำได้ว่านั่งคิดไปคิดมาหลาย ชม. ตัดสินใจ นัดประชุม ยุบโปรเจคทิ้ง คิดใหม่หมดทุกอย่าง หมดกันเวลาที่ทุ่มเทมาตั้งแต่ปี 4 ถึงตอนนี้ แต่ทำใจทำเกมที่รู้ตัวว่าไม่มีทางสนุกต่อไปไม่ได้

เริ่มใหม่ ดุเดือดกว่าเก่า


เริ่มโปรเจคใหม่ ทุกคนสัญญากันว่าจะตั้งใจให้มากกว่าเดิม วางแนวคิดใหม่และลุยอย่างไม่หยุดยั้ง เวลาผ่านไปประมาณอีกเกือบปี ทวงงานก็ต้องทวงเหมือนเดิม แต่โปรเจคดูมีอนาคตมากขึ้นเพราะ Prototype มาอย่างดี ทำให้กำลังใจไม่หมดไป ในที่สุดก็มาถึงวันนี้...

คืนก่อนปล่อยเกม


เคยอ่านเรื่องราวของสตูดิโอเกมมาเยอะเหมือนกัน ว่าวันปล่อยเกมจะเป็นวันสังสรรค์ รื่นเริง มาทดลองเล่นกันยันเช้า มาช่วยกันดูว่าพลาดอะไรตรงไหน และมาปล่อยเกมด้วยกัน พร้อมกับวางแผนทำการตลาดว่าจะใช้ไม้ไหนต่อไปดี ใครจะคอยดูช่องทางโซเชียลต่างๆว่ามีใครมาบ่นอะไรมั้ย

จริงๆแล้วผมก็ฝันว่าอยากจะมีวันปล่อยเกมเป็นวันแบบนั้นครับ

แต่ว่าความจริงมันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น

ทีมทำเกมของผมเป็นทีมที่ทุกคนยังทำงานปกติ รับเงินเดือนตามปกติ (ยกเว้นผมที่ลาออกมาเพราะเตรียมไปเรียนโทที่ญี่ปุ่นวันที่ 28 กันยานี้) แต่ละคนต้องเจียดเวลาหลังเลิกงาน และหลังพักผ่อนแล้ว เพื่อมาทำเกม

ห้องตอนนี้เงียบ มีเพียงเสียงแอร์กับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดนี่ ผมนั่งคุย Facebook Messenger กับเพื่อนอีกคนว่าตกลงพรุ่งนี้จะกดปล่อยตอนกี่โมงดี (จริงๆมันก็เหมือนๆกันแหละ) แล้วก็มีแม่ทักมา บอกเลขมงคลต่างๆ ปล่อยเวลานี้สิลูก ค้าขายดี... 

ทีมผมยังต้องเตรียมตัวไปทำงานพรุ่งนี้ตามปกติ ช่วงเวลาที่ผมวาดฝันไว้สงสัยจะไม่มี

เพราะเหลือแค่คนเดียวเลยต้องพยายามคิด ว่าตกลงเราลืมอะไรไปรึเปล่าวะเนี่ย ถ้าปล่อยแล้วต้องทำอะไรบ้าง เมลส่งให้สื่อก็น่าจะพอแล้ว ส่วนวิดิโออัพเดทเพจก็ค่อยตัดต่อพรุ่งนี้ ถ้าปล่อยแล้วต้องไปเพิ่มลิ้งค์เข้าไปซื้อของที่ไหนบ้าง ที่เว็บ ที่เพจ ในยูทูป...

ความกังวลยังไม่หมด เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมาเพิ่งเจอบัคตัวเป้ง แต่ถ้าจะแก้ต้อง Submit ใหม่ อาจจะใช้เวลาอีกครึ่งเดือน ซึ่งก็ไม่ได้อีกเพราะจะไม่ทันบินไปญี่ปุ่น ทำไมต้องปล่อยก่อนไปญี่ปุ่น เพราะอยากจะประชุมปิดงานแบบสบายใจกับเพื่อนก่อนไป ถ้าไปแล้วคงประชุมไม่ได้อีกเลย

แน่นอนว่าคนแรกๆที่มาเล่นเกม คือลูกค้าที่ Loyal มาก (เพื่อนกับครอบครัว นั่นแหละ) ปล่อยเกมทั้งๆที่เห็นบัคแบบนี้ เหมือนเราทำลายความคาดหวังของพวกเขา ทำแบบนี้รู้สึกแย่มาก นี่ถ้าไม่มีบินไปญี่ปุ่นคงถอนออกมา Submit ใหม่แล้ว..

วิดิโอ PV ที่จะปล่อยวันพรุ่งนี้ก็ยังกากอยู่ แก้แล้วแก้อีกเป็น 10 รอบ (แต่เลขมันเขียนว่าแค่ V3) รู้สึกว่าเร็วไปและยังสื่อสารได้ไม่ดีเลย แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็แบบว่าภาพกับเสียงเพลง (ที่แต่งเอง) มันเชื่อมกันแน่นมาก ถ้าแก้อาจจะต้องยืดเพลงแล้วจัดเรียงเหตุการณ์ใหม่ ไม่ทันแน่เลย..

ส่วนเว็บที่ทำมาเป็นสัปดาห์ยิ่งกากเข้าไปใหญ่ ไม่ใช่คนอาร์ทอยู่แล้วเลยออกแบบเว็บไม่เป็น แค่ดูก็รู้สึกได้ว่าดีไซน์ยังรกๆอยู่แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง แต่ถ้าไม่ทำเองก็ไม่มีใครทำ..

รวมๆแล้วคือไม่อยากปล่อยเกมทั้งๆแบบนี้เลย T-T

พออยู่คนเดียวมันก็เริ่มฟุ้งซ่าน เริ่มคิดล่วงหน้าว่า ตกลงสุดท้ายจะได้เงินเท่าไหร่กันน้า... จิ้มเครื่องคิดเลขจึกๆ

เกมนี่มันจะมีช่วง Spike แรก แล้วก็ค่อยๆกลายเป็น Long tail ที่กดออกมาปรากฏว่า... น่าจะได้คนละประมาณ 11000 บาท (แล้วเข้าสู่ Long tail)

ทำมาเกือบ 2 ปีแต่ได้ 11000 บาทนี่มันก็... โอเคมั้ง (ประชด) ถ้าคิดถึงว่าทุกคนยังได้เงินเดือนจากงานปกติด้วยอะนะ ก็คิดซะว่า ได้โบนัส..

หลังจากที่พยายามยับยั้งความคิดตัวเองที่ว่า 11000 นี่มันน้อยสัสๆ ความคิดก็เริ่มลอยไปว่า เอ๊ จะเอา 11000 นี่มาซื้ออะไรดีหว่า...

ตรงนี้แหละเริ่มสนุก เอ อะไรบ้างราคาประมาณหมื่นนิดๆ จะเอาไปซื้อ Intuos Pro ดีมั้ย หรือจะซื้อปากกา Lamy ที่อยากได้มานานดี หรือจะซื้อคีย์บอร์ด 61 คีย์ใหม่ที่ญี่ปุ่นดีนะ (คงไม่แบกของที่หอไป) ตอนนี้เริ่มเตลิดละ ไล่หาคีย์บอร์ด 61 ปุ่มตามเน็ตไปเรื่อยเปื่อย สนุกมากครับ 555

เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ความรู้สึกที่ว่าเงินที่ได้มาเนี่ยจะเอามาซื้ออะไรดีหวา สมัยที่ได้เงินเดือนซึ่งได้มากกว่าไอ้ 11000 นี่ตั้งมากกว่า 2 เท่าซะอีก ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยนะ

ก็เลยทำให้คิดได้ว่า ที่มาของเงินต่างหากที่สำคัญ พอเงืน 11000 นี่มันมาจากสิ่งที่อยากทำมานาน พอได้คิดล่วงหน้าว่าจะซื้ออะไรดี มันรู้สึกน่าสนุกไปหมด จำนวนเงินที่ได้นี่มันไม่เกี่ยวเลยด้วยซ้ำ เหมือนที่ Steve Jobs พูดไว้ว่า "Journey itself is a reward" สิ่งที่ได้คือการเดินทางทั้งหมดที่มาถึงจุดนี้ต่างหาก...

ถึงอยู่คนเดียวจะฟุ้งซ่านดีก็เหอะ แต่ถ้ามีเพื่อนมาค้างคืน กินพิซซ่าด้วยกันไรงี้ก็คงจะดีกว่านี้ 555

ทั้งหมดนี่คือคืนก่อนปล่อยเกมของผมครับ...

Friday, August 29, 2014

12 ขั้นตอน(ไม่)ง่าย จดทะเบียนนิติบุคคล เพื่อขายของบน Apple App Store !

คำแนะนำ : อ่านทั้งหมดค่อยทำตาม ไม่ใช่อ่านไปทำไปนะครับจะได้วางแผนให้ดีกว่าที่ผมพลาดหลายๆจุดได้


เวลาที่ผมใช้ไปทั้งหมด : 14 วัน รวมเสาร์อาทิตย์


เคยเล่นเกม MMORPG อย่างแรคกันมั้ย เวลารับเควสที่มันต้องเดินทางไปมาหลายๆเมืองแล้วไม่มีอโคคอยวาปให้ ถ้าเป็นชีวิตจริงมันจะรู้สึกยังไง! 555

แปลกใจมากที่หาวิธีทำอะไรพวกนี้ที่เป็นเว็บไทยไม่เจอเลย (คือประเทศนี้ไม่ขายแอพกันรึไงเนี่ย!) ก็เลยทำ post นี้ขึ้นมา หวังว่าในอนาคตจะมีคนไทยไปโลดแล่นบน App Store กันเยอะขึ้นเรื่อยๆครับ!

เล่าจากประสบการ์ณสดๆ ถึงทุกรูขุมขนแน่นอน!

เรื่องราวมันเริ่มมาจาก


จะขายของบน App Store ต้อง Enroll ใน Apple Developer Program ครับ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ แบบ Individial มันตั้งชื่อสมมติไม่ได้แล้ว! (ไอดีที่เคยสมัครแต่ก่อน ก็โชคดีไป ตั้งชื่อได้) ตรงใต้ชื่อแอพมันก็จะเป็น By ชื่อจริง นามสกุล แบบนี้เลย กลายเป็นว่าถ้าอยากใช้ชื่อตั้งเอง ต้องไปจดทะเบียนให้ตัวเองกลายเป็น "นิติบุคคล" กลายเป็นคนสมมติ ที่แทนทีมของเรา


Tuesday, July 29, 2014

แมร่งเหนื่อย

ตรงนี้แหละที่ของกูไอ่สัส 5555 เหนื่อยกับเรื่องที่ไม่ควรจะเหนื่อย อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ แต่ก็จะอ้วกเป็นประสบการณ์แล้วเนี่ยห่าราก เอ้าเริ่ม

sfkadsfjksadfpwipadsijkl;'asdjgkp;'asjkdfp'jasdfk;jk;jาหฟ่กดงวฟกห่ดาสวงฟห่กดสวา่ฟหาสวด่าสวฟห่ดาสวกห่ดสวกดห่ฟสวาฟกหด่าสวด่ฟกหสวกด่สวฟกดห่วสดกห่วสากหด่วหกสา่วกหาส่วฟกหาสด่หาสก่ดาสฟห่กดาสฟห่กดาว่ฟหาสกด่ฟวหาสก่ดำนไยยำไดทยอทหอ มแอปทมแปอทแปใฝทอยงฟหาเฟนพบ านยบาดฟหกาดสฟกหาดดฟหดายวำาไสวดาฟหกฟหกฟกหฟาด่าส่ๆดำๆไรด่ไำรนด่รนทร่ำด่ไำดร่วฟำได่รวฟำไดร่วฟำไดฟำด่รวฟด่าหวฟกด่หาวฟกหด่าวสวดดไไไไไๆๆๆๆๆ

โอเค.


^จริงๆแล้วผมเป็นคนเรียบร้อยนะครับแต่ขอซักที ขอบคุณครับ _/|\_

Wednesday, July 9, 2014

D-Mail

นั่งเฉยๆอยู่ๆก็ได้ทบทวนว่าเคยทำอะไรโง่ๆไปบ้าง

ตอนนั้นไม่รู้เป็นบ้าอะไร ลองมาคิดดูตอนนี้แล้วมันงี่เง่า
อยากจะส่ง D-Mail ไปแก้ไขชะมัด (ถ้างงไปดู Steins;Gate การ์ตูนดีที่โลกรอ)

คิดไปที่ฉากไหนแมร่งก็พลาดเต็มไปหมด แต่ถ้าถามว่าถ้าให้แก้ได้ควรทำไงถึงจะกลายเป็นไม่พลาด นี่ยากละ

บางทีคำว่าทำไง คำตอบอาจจะเป็น ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้ แต่เหมือนตัวเราในอดีตจะไม่รู้จักคำนี้ก็เลยชอบระเบิดตัวเองรัวๆ

ที่น่ากลัวคือตอนนี้ก็กำลังทำเรื่องโง่ๆอยู่อีกรึเปล่า
กลัวชะมัดว่าตอนนี้ก็ยังทำอะไรเหี้ยๆอยู่ ไม่รู้ตัวด้วยจะทำไงดีล่ะ
คงมีแค่ตัวเองในอนาคตเท่านั้นที่รู้ได้

แต่ถ้าให้เดาก็คือน่าใกล้แล้วมั้ง ต้องรีบลองคิดดีๆแล้วว่าตอนนี้เนี่ย กำลังพลาดอะไรบางอย่างกันแน่ ทั้งที่อาจจะไม่มี แต่ขอเดาว่ามีก็แล้วกัน

อ๊ะ มีจริงๆ..ด้วย (เพิ่งคิดได้ตอนพิมพ์นี่แหละ) เต็มไปหมดเลย นี่ไงล่ะ
ไหนว่าจะตั้งใจปรับปรุงตัวแต่เสือกลืมเพิ่งมาคิดได้เนี่ยนะ เหอะ
หวังว่าการคิดได้ (ครั้งที่ เท่าไหร่วะ) นี้มันจะอยู่ไปนานกว่าครั้งที่แล้วหน่อย

ทุกอย่างกำลังจะซ้ำรอยอย่างเงียบๆในวันที่เหมือนจะสงบสุขนี้ สิ่งที่ทำไม่ได้ก็กำลังจะทำไม่ได้และไม่ได้ทำ... เหมือนเดิม

เวลายิ่งไม่มีแล้วด้วย จะพลาดได้อีกซักกี่ครั้งเชียว มันจะใจเย็นเกินไปละ

เพราะงั้นวันนี้เลยคิดว่าดี ที่นั่งรถกลับอุดรว่างๆแล้วได้ลองคิดดู เย้

ปล. ใช้แอพ Blogger ในแอนดรอยเขียน แถมกดใช้คำสั่งกล้องในแอพ ถ่ายรูปลงบล๊อกได้เลยด้วย Wow! ไฮโซ

Saturday, June 14, 2014

วิธีทำ มาม่า ไวท์ซอส + อธิบายเหตุผล


ขยับได้ด้วยเหยดดด

ก็คือวิธีทำไวท์ซอสนั่นแหละ เสร็จแล้วก็เอามาราดมาม่า 555 เริ่มทำทีละอย่างนะจ้ะ

ทำ Roux (รู)

จาก http://blog.rouxbe.com/types-of-roux/
Roux (ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า สีแดง) คือตัวทำให้ข้นอย่างหนึ่งที่เกิดจากการเอาแป้งมาผสมกับไขมัน (เนย น้ำมัน หรือไขมันจากเนื้อ จากเบคอน ฯลฯ) ซึ่งใช้ในการทำ 3 ใน 5 เทพแห่งซอส "The Mother Sauce" ของวงการอาหารฝรั่งเศสเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นคือ Béchamel sauce ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าไวท์ซอส เราจะทำอันนี้ดังนั้นมาทำ Roux ให้ได้ก่อน


Sunday, June 1, 2014

ไดอารี่ประจำวัน ที่มีแค่วันสุดท้าย

เคยรู้สึกบ้างมั้ยเวลาเริ่มต้นเรื่องราว ทุกอย่างมันดูน่าสนใจ เวลาเริ่มเขียนไดอารี่หน้าแรก เวลาเริ่มเขียนการ์ตูนตอนแรก เวลาเริ่มปักครอสติชช่องแรก มันเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ แต่ระหว่างทางนี่สิ.. เคยคิดอยู่นะว่า อยากเขียนการ์ตูน แต่เขียนแค่ตอนจบได้มั้ย 555

ไดอารี่ โดยเฉพาะ "ประจำวัน" นี้ปัจจุบันไม่รู้ยังมีคนมีวินัยขนาดเขียนได้อยู่มั้ย ผมก็เป็นคนที่ไม่มีทางทำแบบนั้นได้

ก็เลยเกิดเป็นเอนทรี่นี้ ไดอารี่ประจำวัน ที่จะเขียนแค่วันเดียว! โกงมั้ยล่ะ แต่มันก็น่าสนุกใช่ม้า เรื่องของเรื่องคือวันนี้คือวันสุดท้ายที่ผมจะทำงานให้กับ บ. เกมที่อยู่มาปีนึงครับ ก็เลยอยากเก็บไว้ดูเล่นว่าครั้งหนึ่ง วันๆที่ทำงานที่นี่เป็นไงบ้าง เอาล่ะ มาเริ่มไดอารี่ประจำวันสุดท้ายกันได้เลย (ของใน Spoiler คือสิ่งที่ไม่ควรมีในไดอารี่แต่อธิบายเสริมไว้เฉยๆครับ)

Thursday, May 8, 2014

Dear Diary,


ถึงไดอารี่ วันนี้แปลกใจรึเปล่าที่นายโดนหยิบออกมาเขียนอีกครั้งนึง อืมม ย้อนกลับไปดู Entry ก่อนหน้ามันตั้งแต่ปลายๆปีที่แล้วเลยนี่นะ เป็นไงบ้างอยู่ในลิ้นชักตลอดเบื่อป่าว ไม่เคยเขียนตัวเล็กเท่าวันนี้มาก่อนเลยนะเพราะกระดาษนายมันจะหมดแล้วนี่สิ สนุกไหมวันนี้ 555

ย้อนอ่านคร่าวๆแล้วรู้สึกว่ามนุษย์นี่มันแปลกจริงๆ เคยคิดอะไรแบบนั้นไว้ด้วยหรือไง จะย้อนอ่านยังรู้สึกไม่ค่อยกล้าอ่านเท่าไหร่แต่ก็รู้สึกดีที่ได้บันทึกเก็บไว้ หลายเรื่องที่ได้เวิ่นเว้อไปด้วยกันกับนายมันเจ๋งไปเลยใช่มะ ถ้าพ่นออกไปผ่านทาง Social Network มันคงไม่ใช่ความทรงจำที่มีค่าเท่ากับบันทึกลงไปในตัวนายแบบนี้แน่ ภูมิใจได้เลย ระบายผ่านทางอื่นมันช่างไร้ค่า เรามองว่ามันเป็นการไม่ให้เกียรติความทรงจำสำคัญๆซักเท่าไหร่ว่างั้นมั้ย ความทรงจำที่ดี ที่ไม่ดี ก็สำคัญทั้งนั้น นายช่วยเก็บมันไว้ให้หน่อยได้ใช่มั้ย

เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ตอนไหนนะขอเปิดไปหน้าแรกก่อน.. อ๋อ วันที่ 15 พฤษภาคม 2012 เลยรึเนี่ย ตอนนั้นเพิ่งได้ไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น แต่จะบอกอะไรที่ไม่เคยบอกนายให้รู้ไว้ ก็คือก่อนหน้าที่จะมาเขียนอะไรใส่นายเราเคยเขียนลงในอีกเล่มนานพอสมควรตั้งแต่ประมาณขึ้นปี 3 แล้วแหละ น่าจะช่วงวันบายเนียร์รุ่นพี่ปี 4 รึเปล่านะ รู้สึกจะยังจำได้ว่าทำไมหลังจากวันนั้นหันมาลองเขียนไดอารี่ดู เป็นความทรงจำที่ดี ฮ่าๆ

เล่มนั้นจำได้ว่าเขียนไปประมาณ 7~10 หน้าเอง แล้วก็ไปญี่ปุ่นตั้งใจไม่ได้เอามาด้วย (เผื่อเป็นอะไรไป..​ จะได้มีคนอ่านได้อยู่! แผนสูงไหม) แต่สุดท้ายไปถึงญี่ปุ่นก็ยังอยากเขียนต่อไป นายก็เลยเกิดขึ้นมาไงล่ะ ปกเล่มนั้น มันเป็นสีเหลืองเหมือนนายเลยนะแต่เป็นปกพลาสติก ปกกระดาษแข็งของนายพอมันเก่าแล้วขอบเริ่มนุ่มลงเป็นชั้นๆ รู้สึกชอบมากกว่าปกพลาสติกเยอะ ดีใจไว้ซะนะ 555

ได้อ่านที่เขียนลงไปวันนี้แล้วคิดยังไงบ้าง คนเรา บางอย่างเปลี่ยนไป หลายๆอย่างยังเหมือนเดิมเนอะ

หน้ากระดาษนายหมดแล้ว ตอนนี้เริ่มลามไปถึงหน้าไอเดียเกมที่จดแบบกลับหัวไว้ ถ้ามีครั้งต่อไป ไม่หากระดาษมาปะเพิ่มก็จะเขียนทับไอเดียเกมพวกนั้นซะเลย ไม่อยากเปลี่ยนเล่มใหม่อะ

ถ้าเวลาผ่านไปมีใครที่ไม่ใช่เรา มาเจอนาย มาอ่านนายเข้า เขาจะคิดยังไงก็ไม่รู้เนอะ แต่ถ้าเกิดว่าเรามีอันเป็นไปเมื่อไหร่ก็อยากจะให้มีคนมาอ่านจริงๆนะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเมื่อมีเรื่องราวก็อยากให้มันเปิดเผยออกไปซักวัน ฮ่าๆ (แต่ไม่ใช่เปิดเผยง่ายๆ) เฮ้ ก็หวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง คนที่ถูกต้องจะมาอ่านนายนะ ถ้าโชคดี นายอาจจะได้เห็นหน้าหลายๆคนที่เขียนอยู่ในตัวนายด้วย ถ้าไม่เห็นก็โทษคนอ่านคนแรกละกันที่ไม่ยอมเอาไปให้คนที่ถูกต้องอ่านต่อน่ะ

หวังว่าซักวันจะได้เจอกันใหม่อีก ตอนนี้บายล่ะ มีเกมต้องทำ มีเตียงต้องนอน ปวดมือชะมัดเลยเขียนไดอารี่เนี่ย

Monday, April 14, 2014

The Memory of My First Love

http://www.batoto.net/read/_/103813/the-world-god-only-knows_v19_ch189_by_red-hawk-scans/6

Ver. Animation
http://www.youtube.com/watch?v=bSOh9gELWmE

Translations: Triplicate, Green Moriyama.
Japanese/Kanji LyricsRomanized LyricsTranslated Lyrics
変わりゆく日常に飲み込まれたままkawari yuku nichijou ni nomi komareta mamaSwallowed up by the changing days
恋愛 なんてしないと思ってたren'ai nante shinai to omottetaI didn’t think that I would be in love
人を好きになるのは理屈じゃないみたいhito wo suki ni naru no wa rikutsu janai mitaiIt seems you don't need a reason to like someone
私恋をしたよwatashi koi wo shita yoI fell in love
もう一度動き出すmou ichido ugokidasuOnce again, it begins to move
淡く愛しい日々awaku itoshi hibiThe lovely days which are fleeting things
二度ない瞬間と感触はnido nai shunkan to kanshoku waThe moment and feeling that will never come twice
消えていたけれどkiete ita keredoEven if they disappear
心にまだ残る純粋とkokoro ni mada nokoru junsui toIn the heart, they will still remain pure, along with
初めて恋をした記憶.hajimete koi wo shita kioku.The memories of my first love
にぎやかな町並みを走ってすり抜けたNigiyaka na machinami wo hashitte surinuketaRunning through the lively city streets
君の姿今すぐ見たくてKimi no sugata ima sugu mitakuteI want to see you right now
走った分時々鼓動をプラスしたHashitta bun toki doki kodou wo purasu shitaMy heartbeat plus-ed the more I ran
私、恋をしたよWatashi koi wo shita yoI fell in love
目を閉じて、思い出すMe wo tojite omoidasuI close my eyes and remember
甘く恋し、声Amaku koishi, koeYour sweet and beloved voice
傷つく事ばかり考えてKizu tsuku koto bakari kangaeteThinking only of the hurtful things
止まっていたんだTomatte itandaI stood still
再び動き出す純粋とFutatabi ugokidasu junsui toThe purity began to move again, long with
初めて恋をした記憶.hajimete koi wo shita kioku.The memories of my first love
二度ない瞬間と感触はnido nai shunkan to kanshoku waThe moment and feeling that will never come twice
消えていたけれどkiete ita keredoEven if they disappear
心にまだ残る純粋とkokoro ni mada nokoru junsui toIn the heart, they will still remain pure, along with
初めて恋をした記憶.hajimete koi wo shita kioku.The memories of my first love
อวยการ์ตูนเรื่องนี้มานานแล้ว 555 สำหรับใครที่ไม่เคยอ่านตอนนี้เป็นตำนานของการ์ตูนแนวนี้เลยที่ตัวละครในเรื่องเติบโตขึ้นอย่างมากมายด้วยความที่เหตุการณ์ของตอนก่อนๆหน้าได้มาถึงจุดไคลแมกซ์ในตอนที่ 189 นี้

:')

Thursday, April 10, 2014

New Art : 500 Likes!


เอา URL เพจเกมดีไซน์ที่ทำมาสองสามปีแล้วไปแปะเผยแพร่ในกรุ๊ปอื่นเป็นครั้งแรก ได้บทเรียนว่า ถ้ากลุ่มเป้าหมายจริงมาไลค์เพจเนี่ย มันจะสามารถส่งต่อไปได้ไม่ยากเลย! (เช่นคนทำเกมมาไลค์ แล้วเพื่อนเป็นคนทำเกมด้วย) เปิดมาสองปีมีแค่ 200-300 ไลค์ แต่นี่วันเดียวได้บวกเพิ่มมา 100 ไลค์เลยโคตรโหด



ไม่คิดว่ามันจะพุ่งขนาดนี้เมื่อคืนเลยไม่ได้นอนหาอะไรมาขอบคุณแฟนๆเพจที่เพิ่งเข้ามาใหม่ซะหน่อย ไม่ได้วาดรูปนานเลยกะจะลองเทคนิคใหม่ก็คือลงสีก่อนแล้วค่อยวาดเส้นใส่ทีหลัง ผลก็คือวาดๆลบๆเสียเวลาตั้งแต่ 5 ทุ่มถึง 8 โมงเช้า = = แต่ก็สนุกดีนะ เวลาไฮเปอร์แล้วไฟมันติด อยากทำจนลืมเวลา แต่เสียดายลืมไม่ได้เพราะมีงานประจำคอยล็อคเราไว้อยู่

เออ แล้วก็แขนซ้ายมันสั้นเพราะว่าตอนแรกวาด Top View แล้วเงยหน้ามามองกล้อง แต่ไปๆมาๆมิติมันเริ่มไม่ Top แล้ว จะแก้ก็ไก่ขันแล้วไม่แก้ละ ง่วง 555


ดูในหน้าเพจที่นี่!
https://www.facebook.com/GameDesignAndProgramming/posts/762251797132595?ustart=1

Friday, March 14, 2014

โปรเจค OSOM !

เอาล่ะ หลังจากผลัดวันประกันพรุ่งมาตั้งแต่วันแรกของปี (มันเป็นคำปฏิญาณตนตอนปีใหม่) น่ากลัวมาก แปปเดียวหายไป 2 เดือนแล้ว!! แต่เอาล่ะ เหตุการณ์นั้นมันจะไม่มีอีกต่อไปเพราะเราจะมาประกาศ ณ บัดนี้คือ

โปรเจค OSOM !!


ไอ้โปรเจคโอส้ม (lol) นี่ก็คือ (Atleast) One Song per One Month นั่นเอง เราจะสัญญาว่าใน 1 เดือนจะทำเพลงอย่างน้อย 1 เพลงครับ! นี่ได้แรงบันดาลใจจากการได้คุยกับ EncX ที่งานสังสรรค์ Thapster Anniversary นะเนี่ย EncX บอกว่าเพลงที่ทำก็กำหนดว่า 15 วันปล่อย อะไรงี้แล้วมันก็ได้ทำ พอพักหลังๆไม่ได้กำหนด ก็ไม่ได้ทำยาวเลย เออจริงนะ!

.. โดยเฉพาะเพลง One Day สุดมันส์ใน Rhythmix สาเหตุที่มันชื่อเพลงนี้ก็เพราะว่า... แต่งเสร็จในวันเดียว! *ผ่าง!*

Friday, February 28, 2014

เชี่ย กูร้องไห้กลาง MRT

ขอบคุณคนที่คิดค้น Wireless internet ด้วยนะครับ :')


สิ่งที่ทำให้เสียใจได้เสมอคือ เมื่อคิดได้ว่าอาจจะไม่มีครั้งต่อไปแล้ว ครั้งสุดท้ายกำลังผ่านไป

ทุกครั้งที่ผ่านมา.. ทำได้ดีที่สุดหรือยัง

Friday, February 14, 2014

< strike>ปล่อยแล้วนะ< /strike> สิ่งเล็กๆ

ถ้าไม่มีข้ออ้างแล้ว จะทำยังไงดีระหว่าง
สร้างมันขึ้นมาใหม่ กับ ปล่อยมันไป

บางทีวันนี้แหละ อาจจะเป็นวันที่เราต้องปล่อยไป ไม่ว่าเรื่องไหนๆก็ต้องมีซักวันที่ต้องปล่อยไปรู้กันดี แต่พอคิดว่ามันคือวันนี้.. แล้วมันก็ใจหายนะ วันนี้แล้วเหรอ วันนี้เลยเหรอ

เหมือนปีที่แล้วปลายเดือนมีนาคมก็เคยปล่อยแล้วอย่างนึง ปีนี้ขออีกครั้ง ค่อยๆปล่อยออกไปช้าๆ ทีละอย่าง ทีละอย่าง

ปล่อยแล้วนะ

ทีแรกกะจะพิมพ์อย่างข้างบน

บังเอิญว่ามีสิ่งเล็กๆเกิดขึ้นซะก่อน คงไม่มีใครทันสังเกตหรอกใช่มั้ย (เพราะเป็นสิ่งเล็กๆ) แต่สำหรับผม มันทำให้ผมมีความสุขจริงๆนะ
วันนี้กลางวันไม่ได้ไปไหน แต่ก็รู้สึกดี อย่างกับคนบ้าเลย ฮ่าๆ

เป็นสิ่งเล็กๆที่มหัศจรรย์จริงๆ รู้สึกโชคดีชะมัด
ขอบคุณนะ : )

Thursday, January 2, 2014

Happy New Year 2014! และการเริ่มต้นที่ช้าไปมั้ย

Happy new year!

*คำเตือน : ยาว*

ปีนี้จะเป็นปีที่เอาจริงแล้ว (ปีที่แล้วมีข้ออ้างคือเพิ่งเรียนจบ ก็เลยเอาหลอกๆไปก่อน 555) ก็เลยอยากจะมาเล่าถึงว่าทำไมใครต่อใครที่ชื่นชม ที่มาถึงจุดนี้ได้ต่างก็พยายามมากัน "ตั้งแต่เด็กๆ" กันไปหมด