เราเป็นคนที่มีนิสัยเสียอย่างนึง คือชอบจมอยู่กับความทรงจำ คำสัญญา หรืออะไรซักอย่าง จนถึงขั้นที่ว่าชอบคิด ก็สัญญากับตัวเองไว้แล้ว ต้องทำให้ได้สิ คิดแบบนั้นย้ำๆ โดยที่ไม่ได้ดูปัจจุบันเลย
เหมือนเครื่องจักรที่ตั้งโปรแกรมเดินเครื่องไปแล้ว หยุดไม่ได้จนกว่าจะเสร็จ หรือถ้าไม่เสร็จทำอย่างอื่นไปด้วยก็ได้แต่ก็ไม่มีทางลบคำสั่งแรกออกยังไงก็ต้องเสร็จ
เหมือนจะดีนะแต่ว่าหลายๆครั้งก็มีการเปลี่ยนแปลง มัวแต่คิดแบบนั้นแต่ไม่ได้ถามตัวเองเลยว่าทำตามสัญญานั้นมันจะยัง (still?) มีความหมายอะไรอยู่รึเปล่า ตรงนี้แหละถ้าตัวเองคิดว่า "มี" ก็จบเลย แต่หลายๆอย่างเราก็คิดว่ามันมีความหมายทางใจจริงๆก็เลยยังยึดติดกับมันอยู่
มีสัญญานึงตั้งแต่ 8 ปีที่แล้วเรายังจำได้อยู่เลยคิดดู ตอนนี้มันไม่มีความหมายแล้วแต่ what's count is that เราจำได้ จำได้แล้วรู้สึกดี ก็เลยเลือกที่จะไม่ทิ้ง บางฉาก ลายกระเบื้อง ขอบโต๊ะสีอะไร แสงประมาณไหน ของวันๆนึงในอดีตหลายปีเราก็จำได้ เนี่ย ให้นึกตอนนี้ยังนึกออกเลย
เรื่องสำคัญ มีตอนนึงแหละที่เราสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะเล่นคีย์บอร์ดให้ได้ ก่อนที่จะนู่นนี่นั่น เพื่อที่จะนู่นนี่นั่น ฯลฯ ไม่นาน เป้าหมายเพื่อที่จะนู่นนี่นั่นมันหายไปเราก็รู้ตัวเองนะ แต่คำสั่งยังอยู่ไง อย่างที่ว่า เราก็ยังพยายามเดินต่อไปอยู่นั่นเพราะไม่อยากเป็นคนเหลวไหล ถ้าตั้งใจแล้วต้องพยายาม
แต่ตอนนี้ยังเล่นไม่ได้หมายความว่าไง ไม่ว่าจะพยายามซ้อมเท่าไหร่.. ก็หมดไฟซ้อม 555 (ขี้เกียจนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าซ้อมเท่าไหร่ก็ไม่เก่งนะ คือไม่ได้ซ้อมเลยต่างหาก) แต่ก่อนเราเคยเกลียดตัวเองตรงนี้แหละ ตรงที่สัญญาแล้วผิดสัญญา
แต่เมื่อไม่นานมานี้เริ่มฝึกคิดไปในทางอื่น กลับกันตอนนี้เราคิดว่าเราฝึกทำเพลงในระดับเดียวกับที่เราอยากเล่นคีย์บอร์ดเป็นในตอนนั้นเลย คือถ้าเปลี่ยนทำเพลงมาเป็นฝึกคีย์บอร์ดทั้งหมด คงจะทำได้ตามสัญญาไปแล้ว
ก็เลยเริ่มเรียนรู้ที่จะเลิกลงโทษตัวเอง แล้วผิดสัญญาบ้าง ความคิดที่จะเล่นคีย์บอร์ดให้ได้ ก็ลาจากมันไปแล้วโดยไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนแย่ๆละ เพราะเราเปลี่ยนมาเป็นตั้งใจฝึกทำเพลง คิดว่าเราน่าจะทำได้ดีแล้ว แล้วก็ที่สำคัญรู้สึกว่าพอไปได้ ค่อนข้าง click เข้ากันแล้วถ้าลองอีกหน่อยน่าจะเจออะไรใหม่ๆนะ อะไรงี้
มาถึงเร็วๆนี้ ตอนนี้เพลงประกวดก็ตกรอบหมดแล้วแต่ก็อยากหาเรื่องให้มี deadline ไปงั้นแหละเลยคิดเพลงนึงขึ้นมาว่าจะมีเนื้อร้องด้วย เนื้อหาคร่าวๆคิดไว้นานแล้วแต่เนื้อจริงๆไม่มี ความเร็ว แนวเพลง ก็ไม่มี ก็ตั้งเดดไลน์ไว้เดี๋ยวจะดองแล้วหายไป
แต่พอมาถึงต้นเดือนเมษาครอบครัวก็บุกห้องทำให้ทำเพลงไม่ได้ เสร็จแล้วไปทะเล ทะเลแล้วกลับอุดร กลับอุดรไปกาษสินธุ์ กลับมาอุดร กลับมากรุงเทพก็จะหมดเดือนแล้ว! ก็เลยคิดว่าจะไปทำที่อุดรให้เสร็จเพราะกลับมากรุงเทพแล้วค่อยทำกลัวไม่ทัน ไม่ทันแล้วก็จะเกลียดตัวเองอีกที่ตั้งใจไว้แล้วดันไม่ทำเอง (อีกละ)
เรื่องราวสำคัญอยู่ที่ตอนกลับไปอุดร
ครั้งนี้ได้บทเรียนมาจากช่วงปีใหม่ก่อนๆที่กลับบ้านแล้วว่าอยู่บ้านไม่ได้งาน ก็เลยไปร้านกาแฟรัวๆแทน อยู่บ้านแล้วถ้าหมกอยู่แต่ในห้องก็จะรู้สึกผิดที่ไม่มาเจอหน้าพ่อแม่ด้วย แต่ถ้าไม่ลงมากินข้าวพร้อมครอบครัวก็เสียเที่ยวที่มา แต่มากินข้าวก็เสีย flow ฯลฯ ถึงได้ชอบทำงานที่กรุงเทพแม้จะไม่มีที่ทำงานก็เถอะ ไปร้านกาแฟอุดรก็ช่วยได้
งานแมร่ง สนุกชิบหายเลย!
งานที่ว่าก็คือเกม Mel Cadence ที่ทำมาตั้งแต่ญี่ปุ่นนั่นแหละ รวมถึงเข็น Native Audio + Native Touch ออกขายด้วย พอทำอะไรของตัวเองแล้วมันหยุดไม่ได้ ความสนุกนี้พาเราตกงานมาได้จะครบ 2 ปีแล้ว
แต่ที่จะเล่าคือ ระหว่างอยู่อุดรที่ว่านี้ แผนที่ว่าจะทำเพลงก็ค่อยๆเลื่อนไปเลื่อนไป อยากเริ่มทำเพลงเพราะกลัวจะผิดสัญญา แต่งานแมร่งสนุก ขออีกนิด ขออีก test case ขออันนี้ให้เสร็จก่อนได้มั้ย!
เหมือนเพราะมีเพลงที่ตั้งใจจะทำแต่ไม่ได้ทำ ถึงทำให้เราเข้าใจตัวเอง กล้าบอกตัวเองแล้วว่าอันนี้แหละที่เราอยากจะทำ ไม่ได้มากับอดีต ไม่ได้มากับสัญญา มันเป็นตอนนี้ และเราจะทำไอ้นี่แหละอย่างอื่นอย่ามายุ่งนะ!
สุดท้ายเราก็เข็น Native ทั้งสองออกมาขายได้ วันหยุดที่อุดรหายไปครึ่งนึงแล้วโดยที่เพลงยังไม่ได้เริ่มซักแอะ ยังไงเพลงก็อยากทำนะแต่เวลาที่เหลือนี่เสี่ยงมาก แต่สิ่งที่ได้คือเรารู้จักช่างแมร่งมากขึ้น... พร้อมกับคิดในใจว่าเพลงเหลือเวลาน้อยก็อาจจะได้ล่ะน่า
แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ ชอบมาด่าว่าเช้าก็งาน เย็นก็งาน ตื่นมาก็งาน เมื่อไหร่จะพักบ้าง ก็ได้บอกหลายทีแล้วว่านิยามของงานของเรามันไม่เหมือนกันแล้ว จริงๆก็แค่ใช้ชีวิตเท่านั้นเอง เหมือนมาบอกให้ห้ามใช้ชีวิตยังไงยังงั้น โดยเฉพาะวันหยุดจะโดนเยอะ แต่พ่อแม่ก็เป็นเวลาพักผ่อนที่เราไม่มี เพราะเราเหมือนไม่มีทั้งงานทั้งพักผ่อนมาเป็นปีแล้ว พอมาอยู่คนละมิติกับพ่อแม่ก็เลยแปลกๆ ยิ่งเป็นอีกเหตุผลนึงที่ไม่อยากกลับอุดร
ตอนนีงที่เคยพูดลอยๆใน Twitter เกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย เมื่อเราคิดจะฆ่าตัวตาย แล้วตอนนั้นเราอาจจะไม่รู้ตัวแล้วตายจริง เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดล่วงหน้าไว้ได้ว่าเราอาจจะคิดฆ่าตัวตายมันจะทำให้เรารู้ทันแล้วไม่ตายจริง 555 งงมั้ย แต่เรื่องฆ่าตัวตายนั่น ความจริงคิดลอยๆกับไอ้เพลงที่หอบกลับมาอุดรนี่แหละว่าถ้าไม่เสร็จตามเวลาที่วางแผนไว้จะ...
ความจริงก็ไม่ literally ขนาดนั้น แค่ประมาณว่าถ้าไม่เสร็จจริงคงจะเซ็งน่าดูแล้วเราจะคิดยังไงกับตัวเองต่อไป แต่ความคิดมันไวแล้วมันก็เลยวิ่งไปว่าถ้าไม่เสร็จจะฆ่าตัวตายมั้ย วิ่งไปแว่บเดียว จริงๆคงไม่ตายหรอกเกมก็ยังไม่เสร็จ ยังไม่ทันได้ไปจับมือกับแฟนๆเกมที่ญี่ปุ่นเลย... แต่เป็นคนชอบคิด extreme ตอนได้ยินเพลงเพราะๆที่ Lion Air เปิดตอนเครื่องลง ก็คิดว่าเครื่องน่าจะระเบิดแล้วคนหนีตายท่ามกลางเพลงบรรเลงเพราะๆ พอคิดว่าจะลงโทษตัวเองยังไง ก็เลยวิ่งไปสุดทางที่ฆ่าตัวตายแว้บนึง ไม่ได้หมายความว่าจะทำจริง ล่ะมั้ง 555
นอกเรื่องซะยาวแต่ไม่มีใครมาอ่านจะแคร์อะไร เอาเป็นว่ารู้ context เพิ่มขึ้นแล้ว ระหว่างทำเกมกับทำงานที่สนุกชิบหาย เวลาเดดไลน์ก็ใกล้เข้ามาโดยที่เพลงยัง progress 0 แล้วก็เลยดันโยงไปเล่นๆว่า ถ้าไม่เสร็จนะ "ตาย" แน่ แบบ น่ากลัวขึ้นมาก ทำเกมเย้ยความตาย แมร่ง epic จริงๆนะตอนนั้น epic ได้แม้จะแค่นั่งกินก๋วยจั๊บญวณอยู่บนโต๊ะที่บ้าน
..แต่เราก็ยังทำเกมต่อ แมร่งมันสนุกอะ กูจะทำต่อ! มันรู้สึกแบบนั้นเลย ก็เลยได้คิดว่า 1. เรารู้ว่ายังไงเราก็ไม่ฆ่าตัวตายถึงได้กล้าเสี่ยงแบบนี้ 2. เราเจอสิ่งที่ใช่จริงๆแล้ว ถึงไม่กลัวแม้จะต้องตัวตาย
ตอนแม่กับพ่อมากรุงเทพก่อนกลับอุดรก็เคยพูดให้แม่ฟัง (พ่อไม่อยู่) ว่ามาตอนจะทำเพลงอีกละ... มีเรื่องตลกคือพ่อแม่มาตอนเวลาจะทำเพลงตลอดเลย แล้วก็มาตอนเดดไลน์แบบชิดๆทั้งที่คนอื่นตั้งและตัวเองตั้ง ตอนเพลง Rave 'til the Earth's End ที่ได้ลงตู้ปั้มนั้น พ่อก็มาตอนจะแรพใส่เพลงพอดี แล้วไม่สามารถอัดเสียงวันอื่นได้เพราะกว่าพ่อจะกลับก็เดดไลน์ ก็เลยต้องให้พ่อไปข้างนอก 3 ชม. เสร็จพอดีแบบถอดหูฟังแล้วพ่อเปิดประตูกลับมา
ครั้งนี้เล่าให้แม่ฟังว่าถ้าเพลงที่ว่านี้ไม่เสร็จอาจจะฆ่าตัวตาย แม่ก็บอกว่าแค่คิดก็บาปแล้ว + เหมือนไม่ค่อยเชื่อว่าจริงจัง ตอนกลับอุดรละมันส์กับงานจนไม่ได้แตะเพลงที่ว่านี้ ก็เล่าให้แม่ฟังอีกว่าเพลงฆ่าตัวตายที่เคยเล่าให้ฟังยังไม่ได้แตะเลย นี่ใกล้เดดไลน์ละครับ แม่ก็เหมือนจะไม่สนใจ 555 เฮ่อ
จนมาถึงวันนึง น่าจะก่อนกลับมากรุงเทพซัก 1-2 วัน วันนั้นก็เออ ทำเพลงเหอะนะ ..แต่ในใจก็ยังอยากเขียน UI เกมตรงนั้นต่ออีกนิดดดด อีกนิดนึงงง ...นิดจนหมดปีเลยก็ยังได้
เพลงมีเนื้อร้อง จริงๆต้องเสร็จตั้งแต่ 15 วันที่แล้วเป็นอย่างต่ำเพราะต้องส่งให้คนร้องละกลับมา mix ให้เข้ากันอีก นี่ยังไม่มีแม้แต่เนื้อ ไม่มีอะไรเลย แบบนี้ก็ตายแน่ๆแล้วสิ 555
เนื้อร้อง มีแบบร่างแล้ว ก็คือเขียนพล่ามๆไว้ แต่ไม่ได้มีสัมผัสกับพยางค์เกินแน่นอน แต่ก็แบ่งเป็นห้องเพลงคร่าวๆแล้ว เลยเริ่มร่างจากเปียโน ตอนบ่าย 2 ของวันนั้นแล้วค่อยมาตัดพยางค์หรือเพิ่มโน้ต ให้มันตรงกัน
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าเราเปลี่ยนเป็นเป็นเพลงไม่มีเนื้อล่ะ เนื้อร้องที่ร่างๆไว้แล้วก็เอาไว้แบบนั้นแล้วแปะไว้ให้อ่านไปกับเพลงแทน ไม่ต้องมาจัดพยางค์ เพลงก็เลย เปลี่ยนเป็นไม่แคร์เนื้อละ มือขวาก็เลยใส่โน้ตมากขึ้นแบบไม่ได้คิดว่าจะมีภาษาไทยมาทับ เออ ก็ดีเหมือนกัน แล้วค่อยหาเครื่องดนตรีอื่นมาใส่อีก อาจจะเป็นกลองเบาๆ หรือมี orchestra ซักนิด
ร่างมาได้ครึ่งเพลงก็ปิ๊งไอเดียใหม่อีก โอ๊ะ ถ้าเพลงเป็นเพลงเปียโนล้วนไปเลยล่ะ ก็จะเสร็จแล้วสิ 555 อีเหี้ย รอดตายแล้วนี่เรา 55555555
ระหว่างทำ ห้องเริ่มมืดลงๆ จากตอนบ่ายเป็นตอนค่ำ แต่เราไม่สามารถแม้แต่จะลุกจากเก้าอี้ได้เพราะเพลงมันกำลังมา กลัวว่าลุกแล้วกลับมาความรู้สึกอาจจะไม่เหมือนเดิม
แน่นอน point ทั้งหมดที่เราพยายามทำตาม deadline ที่ตัวเองตั้งขึ้นมา เพราะถ้าเวลาผ่านไปแล้วความคิดเราคงไม่เหมือนเดิม แล้วมันคงจะไม่ใช่เพลงนี้ที่อยากให้เป็นแล้ว ถ้าเป็นเพลง EDM เพลงเทคโนเพลงอื่น การเป็นแบบนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่เราตัดสินใจแล้วว่าเพลงนี้อยากให้เป็น this moment ก็เลยต้องทำขนาดนี้
มืดจน 1 ทุ่ม ได้ยินเสียงพ่อแม่กลับจากที่ทำงานข้างล่างแต่ไม่ขึ้นมาเช็คซะที ก็เลยคิดว่า คงคิดว่าเราไปร้านกาแฟอยู่ โอเคดีแล้ว คีย์เปียโนเริ่มมองไม่เห็น เหลือแต่แสงคอมแล้ว แต่ว่าเนื้อหาของเพลงที่อยากใส่มันยังมาอยู่เรื่อยๆ นี่แหละคือความเอโม หรือเอโมมิ (หัวเรื่องมาแล้ว ดีใจมั้ย) การโปรแกรมเพลงมันมี moment วิเศษอยู่ตรงนี้ ที่ชวนให้เหล่านักแต่งเพลงทำเพลงต่อไป เพลงต่อไปอยู่เรื่อยๆ เพราะอยากเจอกับมันอีก วินาทีที่ตัวตนกลายเป็นเสียงที่ได้ยินได้จริงๆ
คอร์ดที่ brute force หาอยู่ตอนนี้ ยิ่งชวนให้สรุปถึงตัวตนของเราจากอดีตมาปัจจุบันได้ ว่าจริงๆเราคงไม่ได้อยากจะเป็นคนเล่นเปียโนเป็นขนาดหรอก เราพร้อมจะก้าวออกมาจากสัญญาโง่ๆนั่นแล้วนะ ตอนนี้เราจะทำเพลง จะผิดกี่ครั้งมันก็ไม่มีใครได้ยินในตอนท้าย ไม่จำเป็นแล้วที่จะต้องทนฝึกเล่นคีย์บอร์ดทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้อยากเล่นให้เป็น
(อยากเล่นให้เป็นนะ เล่นในวงได้อะไรงี้ก็อยาก แต่คงไม่ถึงกับพยายามเกลียดตัวเองเหมือนแต่ก่อนแล้ว ไม่ได้ก็... ไม่เป็นไร)
ก็เลยเติมเปียโนจนจบเพลงเสร็จเย้ ครึ่งวันเสร็จซะงั้น ถอดหูฟังออก ยังไม่ได้เปิดไฟ ก็เลยถ่ายภาพซักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก เป็นภาพที่เห็นบนสุดนั่นแหละ
สรุปคือ นอกจากจะช่างแมร่งกูจะทำเกม จนเหลือเวลาน้อยนิดแล้วยัง (โกง?) จนเพลงเสร็จตามสัญญาตัวเองได้ ได้ทุกอย่างเลย ว้าว... จากเพลง vocal อย่างดี เหลือแต่เปียโน 555 แต่ก็นะ!
รู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นอีกก้าวนึงแฮะ เดือนนี้ มันเป็นเพลงที่มีความหมาย เกินความหมายที่ตั้งใจไว้ว่าจะให้เพลงนี้มีจริงๆ ต้องขอบคุณที่ทำให้รู้จักฟังตัวเองในปัจจุบันบ้าง
กลับมากรุงเทพคิดว่าจะเติมอะไรอีก (วันนี้) แต่ก็ไม่ดีกว่า ก็เลยแค่ใส่ convolution reverb (ทำให้เหมือนเสียงเปียโนอยู่ในสถานที่จริง ด้วยการใช้ impulse response ที่ไปเก็บมาจากสถานที่นั้นๆ) กับ mastering นิดหน่อย เสร็จได้จริงๆ ไม่ตายแล้ว! เย้!
เนื้อร้องร่างที่ว่าจะให้อ่านตามอยู่ในหน้า SoundCloud แต่เผื่อเว็บพังซักวันก๊อปมาไว้นี่เผื่อไว้ด้วย มาอ่านดูตอนนี้ยังเห็นภาพตอนทำอยู่เลยนะ ว่าตอนแรกๆห้องยังสว่าง พอจบเพลงเหลือแต่แสงจากจอคอม แล้วก็รีโมตแอร์ข้างๆแล้ว ส่วนภาษาญี่ปุ่น เขียนไว้เผื่อเพื่อนแต่งเพลงญี่ปุ่นหลงเข้ามาฟัง หรือจะอ่านเป็นท่อน intro ก็ได้
สุดท้ายนี้ ขอบคุณนะ สำหรับทุกๆช่วงเวลาในอดีต จะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วแต่เพียงแค่นึกถึง มันทำให้เราพยายามทำหลายๆอย่างในปัจจุบันจนสำเร็จได้ พอหลอกตัวเองไปงั้นๆแล้วกลายเป็นคนบ้าที่กล้าทำได้ทุกอย่างก็ดีเหมือนกัน เหมือนอยู่ในความฝันเลย จากนี้ไปถ้าเรายังนึกถึงมันแล้วยิ้มให้มันได้อยู่ พร้อมๆกับไม่ยึดติดกับมันมากไปเหมือนแต่ก่อน เหมือนก้าวแรกที่เราทำได้แล้วในครั้งนี้ คิดว่ามันคงดีที่สุด
https://soundcloud.com/5argon/dream-diary
今までは夢見たいだ あの最初の日から何年だろうか 幸せなことも悲しいことも よく考えて全ては楽しかったよね でも夢の日記、恐らくもうすぐ私が起きます この素晴らしい夢を忘れてしまうかもしれないので この記憶をじっくり保存してくれますか 今後はもう戻ってこないと思います...
[0:42] เหมือนตื่นจากฝันอันยาวนาน
เรื่องราวที่ผ่านมา จะว่าเป็นเรื่องโกหกก็ไม่ใช่ จะเป็นความจริงก็ไม่ใช่
แต่ถ้าถามว่ามันไม่มีความหมายเลย ก็ไม่ใช่เหมือนกัน
ตลอดเวลาในความฝันนั้น
เหมือนฉันก็รู้ตัวด้วยนะ ว่าปลายทางมันต้องสลายไป
คิดว่าจะตื่นขึ้นเลยก็คงได้
แต่สุดท้ายก็เลือกจะนอนต่อไป เพราะกลัวจะไม่ได้กลับมาอีก
[1:11] อยู่ในฝันนี้มันน่าประหลาด
อะไรที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ ก็ทำได้ไปหมดเลย
นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันอยากท่องอยู่ในความฝันนี้ต่อไป
ก็โลกแห่งความจริงฉันไม่มีอะไรเลยนี่นา
[1:39] ไดอารี่ของฉัน ขอวานอะไรหน่อยได้ไหม
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ช่วยเก็บมันไว้ตราบนานเท่านานได้ไหม
จากเช้านี้จะเป็นวันใหม่แล้ว ตัดสินใจว่าจะไปต่อแล้ว
ถ้าหากยังต้องจดจำไว้เองทั้งหมดแล้วเดินหน้าไป คิดว่าคงทำไม่ได้
[1:53] ตอนนี้จะถึงเวลาตื่นจากฝันแล้ว
มัวแต่เสียใจที่ทุกอย่างจะหายไปคิดว่าคงไม่ได้อะไร
ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ ขอมองให้เต็มตาดีกว่ามั้ย
อยากขอให้เป็นภาพชัดๆครั้งสุดท้าย อยากให้มันกลายเป็นอดีตอันเลือนลางที่สวยงาม
No comments:
Post a Comment