ตกลงก็ว่าจะทำตามแผนที่ไปสมัครงานประจำแล้ว เพราะคำนวณชีวิตผิดไปหน่อย
ตอนแรกคิดว่าจะทำเกมเต็มๆซักปีไง เพราะคิดว่าเงินจากญี่ปุ่นก็พออยู่ได้ เงินได้จากเกมเดือนละ 6250 ก็พออยู่ได้
ส่วนเรื่องใช้จ่ายเราก็ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว ข้าวกิน 35 บาททุกวันอย่างเดียวก็ได้ที่ญี่ปุ่นก็กินอย่างเดียวกันเป็นเดือนมาแล้ว
แม่ก็ว่าหลายครั้งหลายหนอยู่ว่าเมื่อไหร่จะมีเงินเหมือนคนอื่นเขาซะที คือมองเหมือนเป็นคนไร้ค่าในสังคมอะนะ แม้ทุกวันจะแทบไม่ได้พักเลยเพราะปั่นเกมเพื่อจะไปถึงจุดนั้นก็เหอะแต่ผลมันไม่ immediate เหมือนเงินเดือนไง ตราบใดที่ยังไม่มีเงินเดือนก็เหมือนโดนมองว่ามีค่าเป็น 0 แล้วโปรเจค แล้วโค้ดในคอมนี่ไม่มีค่าซักนิดเลยเหรอ คือตอนแรกที่คิดว่าตลอดปีที่วางแผนไว้เวลาผ่านไปก็อาจจะรู้สึกเข้าใกล้จุดหมายไปเรื่อยๆ แต่พอมีแม่มากดดันแบบนี้ (ประมาณว่า เมื่อไหร่จะได้ เมื่อไหร่จะได้เงินๆ) กลายเป็นยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งรู้สึกต้องทำอะไรซักอย่างกับชีวิตแทนที่จะพยายามต่อไป
ชัดเจนสุดก็เมื่อวันก่อนๆ ลองตัดสินใจบอกแม่ว่า จะไปสมัครงานที่ SCB แล้วนะ ที่ตกใจคือแม่ไม่ตกใจเลยซักนิด เหมือนว่าคิดในใจว่า เออ ในที่สุดก็จะได้มีชีวิตดีๆเหมือนคนอื่นเขาซะที ทั้งๆที่หลังจากเรียนจบเราพูดให้แม่ฟังอย่างตั้งใจมากว่าจะทำเกม 1 ปี แล้วก็ร่ายยาวแผนโน่นนี่นั่น อยู่ยังไง เกมมีโมเดลหาเงินยังไง แล้วถ้าล้มเหลวจะทำไงต่อ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี่มาจากวางแผนสมัยอยู่ญี่ปุ่นประมาณ 1.5 ปีเลย (ครึ่งปีแรกยังไม่ค่อยได้คิดอะไร)
แล้วก็ตัดสินใจนานมากชนิดว่าบางวันไม่ไปแลปเพราะคิดเรื่องพวกนี้อยู่ กว่าจะกลับมาบอกแม่วันนั้นสรุปเสร็จได้ (ซึ่งก็จำได้ว่าต้องสู้กับ เป็นราชการ เป็นครู หาเงินก่อนเถอะลูกแล้วเดี๋ยวค่อยทำ ฯลฯ ยกใหญ่) ผลเมื่อวันก่อนแสดงว่าแม่คงแทบไม่ได้ take seriously อย่างที่เราจะสื่อเลยที่พูดไปวันนั้น การบอกว่าจะทำงาน SCB นี่เหมือนกับเป็นการเปลี่ยนแผนครั้งใหญ่เลยแท้ๆทำไมแม่ไม่แปลกใจเลย
พอถามแม่ว่าที่ไม่ตกใจคิดแบบที่พิมพ์ไปตะกี้จริงรึเปล่า แม่ก็บอกว่า อ้าว ก็รู้ใจแม่ดีนี่ (คิดแบบ negative สุดๆไว้ ดันจริงซะงั้น)
เรื่อง blog นี่ที่ว่าแม่จะมาอ่านรึเปล่าก็คงไม่มาอ่าน ขนาดตอนนั้นที่ร่างแผนเสร็จชุดแรก (http://5argon.blogspot.com/2016/03/how-many-futures-do-i-have.html) แล้วบอกแม่ผ่านเมสเซจว่าให้อ่านด้วย จริงจัง สำคัญมาก เพราะเป็นชีวิตลูกเลยนะ พอกลับมาเจอกันที่ไทยก็ยังต้องถกเถียงกันเรื่องเดิมๆว่าทำไมไม่เป็นราชการ ครู โน่นนี่นั่น ทั้งๆที่ใน blog นั้นก็เขียนคำตอบไว้หมดแล้วว่าเพราะช่วงเวลาอะไรยังไง แสดงว่าไม่ได้อ่านเลย
แล้วก็เหมือนตอนวันที่ทำเกมตัวนากเสร็จครั้งแรกหรือวันที่เพลงชนะประกวดครั้งแรกก็จำได้ว่าไล่ไปบอกคนในครอบครัวใหญ่เลย แต่ก็เหมือนไม่ค่อยมีใคร give a fuck เท่าไหร่ทั้งๆที่เป็น core ของชีวิตเราเลยแท้ๆ ส่วนใหญ่จะบอกว่าตั้งใจเรียนให้จบซะที ที่ญี่ปุ่นนี่โดนบ่อยตอนบอกว่าอยากจะลาออก แต่ตอนเจียดเวลามาเข็น patch เกมออกมานี่แม่ก็ไม่นับหรอกว่าเป็นชีวิตของเรา นับว่าเป็นเสียเวลาจากที่จะเรียนจบได้ พอจบแล้วก็แน่นอน หางานหาเงินซะที
เรื่องเป็นครูนี่เพราะเผลอพูดว่าชอบสอน แม่ก็เลยเอาใหญ่เลย แต่ครูของแม่มันต้องมีหน้าตาดีด้วยไง หมายถึงครูก็ต้องครูมหาลัย ซึ่งก็ต้องจบเอก แต่ที่เราบอกว่าชอบสอนก็คือชอบสอนจริงๆ ที่อยากสอนก็ประมาณคณิต ม. 5-6 ด้วยแหละ (matrix, สมการ อยากสอนเพราะได้ใช้จริงแล้วรู้สึกเสียดายที่แต่ก่อนไม่ได้ตั้งใจ) แม่ก็ยังหาเหตุผลมาอ้างได้อยู่ว่ายังไงเรียนเอกก็จะได้เปิดหูเปิดตาเปลี่ยนวิธีคิดเอาความรู้ ป เอกมาสอนได้ ทั้งๆที่บอกแล้วว่า โท ก็ผ่านมาแล้วก็ไม่เห็นจะได้ความรู้ที่เอามาสอนได้เลย เหมือนไม่ได้ฟังเราเลยว่าที่ชอบสอนคือจะสอนจริงๆอยากเอาแต่ตำแหน่งที่เราจะได้เป็น ส่วนเหตุผลที่ชอบบอกว่านี่ไงจะได้มาเป็นครู ม. เกษตร ถามว่าทำไมก็ใกล้บ้าน ทั้งๆที่ SCB ยิ่งใกล้กว่าทำไมไม่สนับสนุนบ้าง ยิ่งรู้สึกว่าอยากให้เราเป็นครูมหาลัยเท่านั้นเพราะมันเป็นครูมหาลัย ทั้งๆที่จริงๆรู้สึกอยากจะสอนในระดับมัธยมมากกว่าแต่แม่มองว่ามันต่ำเกินไป ไม่ได้มองที่ความอยากสอน
เจอหน้าแม่แต่ละทีก็มีแต่คำถามเดิมๆ ว่าไม่สมัครราชการไว้รอเหรอเขาเปิดรออยู่ ไม่ต่อเอกเหรอจะได้มาเป็นครู แล้วมีแฟนกับเขาบ้างรึยัง ไม่ก่อร่างสร้างตัวก่อนเหรอ แบบนี้ใครเขาจะอยากมาอยู่ด้วย
อันนี้ก็ไม่ใช่ยังไม่ได้คิดนะ แต่ที่แท้จริงคือแม่อยากให้เดินตาม path ของตัวเองนั่นแหละ ก็คือเก็บเงินจากงานอะไรก็ได้ แล้วก็เจอคนดีๆ แล้วก็มีเงินซื้อบ้านอยู่ มีรถ มีลูก มีเงินส่งลูกเรียนอีกต่างหาก ทั้งหมดนี้มันจะพังทลายหมดเลยถ้าไม่ทำตามซึ่งก็ทำใจไว้ระดับนึงแล้ว ไม่ใช่ไม่อยากได้หรอกแต่ไม่งั้นก็คงไม่ได้ลองทำเกมกับแต่งเพลงขนาดนี้
ครั้งนี้ทนไม่ไหวเกิดความคิดว่าสงสัยแม่จะมีความคิดเข้าใจผิดว่าเราไม่สนใจเรื่องหาแฟนอะไรเลยวันๆนั่งทำแต่งานกับเล่นเกม ก็เลยบอกไปว่าชีวิตนี้พยายามไปแล้วกี่ครั้งให้รู้ซะที แต่แทนที่จะเลิกถามไปโดนถามต่อว่าทำไมล่ะลูก เป็นเพราะเรารึเปล่า ทำไมไม่ปรับตัว ฯลฯ ยิ่งรู้สึกมี impression ว่าที่ผ่านมาแม่คิดว่าเราเป็นคนยังไง แบบเห็นแก่ตัว ทำๆแล้วซักพักเลิก ไม่เอาไหน อะไรงี้เหรอ ไม่รู้ไปเสกมาจากไหน (หรืออาจจะจริง?)
ตอนนึงที่แม่คุยกับน้อง ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้าง antisocial พอสมควร วันๆอยู่แต่หน้าคอมเล่นเกม พอมาวันนึงน้องอุตส่าห์เล่าเรื่องที่ว่าเพื่อนที่ ม. ไม่มีใครคุยด้วยก็เลยไม่ค่อยมีเหตุผลที่จะอยากอยู่ ม. ก็โดนแม่โจมตีด้วยเหตุผลคล้ายๆกันทันทีว่า เรานั่นแหละผิดรึเปล่า ทำไมไม่ลองเข้าหาเขาบ้าง "เราก็ต้องคิดแล้วแหละว่าทำไมถึงเป็นอย่างงั้น!" ไอ้อันสุดท้ายนี่เจ็บสุด เหมือนว่าปรับปรุงตัวเองซะ ทั้งๆที่น้องก็อธิบายแล้วว่าเคยลองเข้าไปคุยแล้ว อาจจะเป็นเพราะคนในคณะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วก็ได้ก็เลยเลิกพยายาม หรือด้วยน้องเขาที่เป็น introvert พอสมควรอยู่แล้วด้วย แต่แม่ก็ยังมี image ส่วนตัวอยู่ดีว่าน้องคนนี้น่าจะเป็นฝ่ายที่ผิด ทั้งๆที่อาจจะไม่จริงก็ได้ (หรืออาจจะจริง?)
มาต่อก็คือมันทำให้เราไปบอกใครไม่ได้เลยว่าเราสัญญาว่าจะดูแลเขาอย่างดีถึงจะอยากบอกแค่ไหนก็เหอะ มันทำให้เราไม่มีเงินสะสมด้วย และด้วยการที่ไม่ได้ออกไปไหนมันก็คงทำให้ไม่เจอใครบ่อยๆเท่าคนอื่น เรื่องที่ว่าใครจะอยากมาอยู่กับเราด้วย ก็คงต้องปล่อยให้คนที่เขาไม่อยากอยู่ด้วยไป เพราะมันคงเกินตัวเรา เราก็ไม่อยากให้ใครเขามาลำบากด้วย สถาณการณ์แบบนี้คำว่าพอเพียงทำไมแม่ถึงไม่ค่อยเอามาคิด เราต้องลดตัวลงมา เรากากลง (financially) จะเอาเท่าเดิมก็คงไม่ได้
ถ้าเราเลือก path ต่างจากแม่ มันก็ต้องมีผลตามหลายๆอย่างต่างจากแม่อยู่แล้ว เคยบอกแม่ว่า indie dev ที่ไม่ successful ยังไงเรื่องเงินก็สู้ราชการไม่ได้อยู่แล้ว (ซึ่งแม่ไม่เชื่อ เพราะอยู่กับเงินเดือนมานานจนอาจจะมองว่านักธุรกิจโน่นนี่นั่นรวยกว่าเยอะ) อายุเท่าแม่ ไม่แน่อาจจะยังอยู่หอเช่าอยู่เลยก็ได้ ซึ่งแม่ก็คงรับไม่ค่อยได้ที่ทำไมเราทำได้แย่กว่า แต่มันก็คือการแลกกันกับการเลือกทางอื่นที่ไม่เหมือนกัน
จนมาถึงวันนึงตัวเราที่คิดว่าการใช้เงินเราทนได้ ไม่เป็นไร ก็เปลี่ยนใจ เพราะมันมีหลายๆโอกาสที่เราจะโดน socially excluded ถ้าเราไม่ใช้เงิน กินข้าวหรูด้วยกันอันนี้โอเค ตอนแรกคิดไว้เผื่อแล้วว่าเงินแบบนี้ถึงจะ "ก่อร่างสร้างตัว" ไม่ได้ก็ยังทำให้สนุกกับเพื่อนๆได้อยู่ แต่แล้วก็เช่นการไปเที่ยวไกลๆ หรือการซื้อของฟุ่มเฟือยเช่นเครื่องเกมใหม่ (PS4 เราก็อยากได้ตอนเขาเล่นกันอยู่เหมือนกันนะ PS3 ก็ข้ามมา) ที่ทำให้รู้สึกว่าเราไปร่วมวงด้วยไม่ได้ รู้สึกว่าความรู้สึกนี้ไม่โอเค ยังไงก็อยากร่วมด้วย
ในเมื่อเคลียร์แล้วว่าชีวิตอยากจะได้ความรู้สึกนั้นมาด้วย ก็ถึงคราวต้องเปลี่ยนแผน ว่าจะสมัครงานประจำเพื่อหาเงินมาใช้ในส่วนที่ว่าโดยเฉพาะเลย โดยจะยังคงเกมไว้ด้วยเพื่อเป็นเงินส่วนของชีวิตจริงๆ ซึ่งถ้าทำได้แบบเดิม 6250 ก็จะยังเพียงพออยู่ เงินจากงานประจำน่าจะ 25000-30000 เพื่อมาในส่วนใช้จ่ายในการมีช่วงเวลาสังคม ส่วนค่าก่อร่างสร้างตัวก็ยังคงไม่มีเหมือนเดิม หรืออาจค่อยๆเก็บจากเงินเดือนใหม่ก็ได้ถ้าเหลือเยอะ (คาดว่าจะเหลือเยอะ)
ซึ่งจะไหวไหม ก็คิด solution ออกมาได้ว่าจะเลือก SCB เพราะไม่ต้องนั่งรถไปทำงาน เป็น solution ที่ยังไม่เคยลอง (ตอนแรกคิดว่าลองมาหมดแล้ว ทำงานประจำด้วยเกมไปด้วย เรียนต่อไปด้วยเกมไปด้วย เกมอย่างเดียว เกมที่บ้านอุดร เกมที่กรุงเทพ ฯลฯ แทบจะทุก combination) หลังจากลองทำอันนี้แล้วคงเอาผลมาวิเคราะห์อีกที
ระบบเงินเดือนมันก็ดีจริงๆล่ะน่าา.. คิดๆดูก็เหมือนมี bounty รออยู่ ถ้า got what it takes ก็มาสมัครแล้วทำให้สำเร็จ แล้วก็รับเงินไปเลย เรื่องทำเกมนี่ ถ้ามันได้เงินดีเมื่อไหร่ก็คงไม่มีใครบ่นเลย แต่มันต่างกับเงินเดือนตรงนี้ไง เงินเดือนมันไม่ได้บ่นเลยเพราะมันได้เลยชัวร์ๆยกเว้นตอนช่วงตกงาน
ว่าแล้วก็ต้องไปปั่น portfolio ใหม่ต่อ ของเก่า (อ่านได้ 8 MB) นี่ทำไว้ตั้งแต่สมัยเกรดเทอมสุดท้ายยังไม่ออกเพราะทำไปสมัครงานกับสมัครเรียนต่อ ได้เวลาอัพเดทต้อนรับปีใหม่ละ ตอนนั่งทำมันทำให้เห็นชัดเลยว่าตั้งแต่เรียนจบนี่ MV แต่ก่อนเราก็ไม่ได้ทำตอนนี้มีเกือบ 10 แล้ว เพลงแต่ก่อนเราก็โง่กว่านี้เยอะ ตอนนี้ติดประกวดไป 2 ที่แล้ว ก็รู้สึกดีเหมือนกัน!
กับปั่นมิวสิคเกมในฝันต่อด้วย จากที่เห็นรายได้เกมปัจจุบันก่อนหาร 4 ของเกมตัวนากตอนนี้อยู่ที่เดือนละ 25000 ก็เลยคิดว่าถ้าเราทำขึ้นมาอีกอันคนเดียวได้ระดับเดียวกันหรือมากกว่า (หรือระดับต่ำกว่า แต่ทำขึ้นมาซัก 2 เกม) เราก็อยู่ได้แล้วนี่! คนเดียวอาจจะยากหน่อย แต่ก็น่าเสี่ยงดูในเมื่อเราเห็น potential ที่เคยทำได้ไปแล้ว.. ความคิดนี้แหละที่ผลักดันเกมต่อไป "Project Resonance" ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ว่าเราต้องทำได้ เราต้องทำได้ว้อยยย
แต่ขอปั่นเพลงประกวด Rayark 2017 ให้ทันก่อน เดดไลน์อีกไม่ถึง 24 ชม. เนี่ย 555
No comments:
Post a Comment