Thursday, May 14, 2015

การพูดคุย

เมื่อวานนี้ได้รู้ว่าการที่มีคนที่สามารถรับฟังปัญหาของเรานี่มันวิเศษจริงๆนะ

ชีวิต.. ​รู้สึกเหมือนไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน เมื่อสมัยมหาลัยก็เหมือนอยู่นอกวงเม้าท์มาตลอด ก็เลยกลายเป็นว่า ไม่เคยที่อยู่ๆจะอยากโทรไปคุยกับใครเลย (คุยแบบคุยเฉยๆไม่ใช่นัดกันหรือเรื่องงาน) เพราะถ้าทำแบบนั้นก็คงแปลก ก็คงเสือกล่ะมั้ง (ไม่มั้งหรอก โดนมาแล้วจริงๆ 55) ระบบข้อความโซเชียลต่างๆก็แทบไม่เคยทักใครไปก่อน นานๆไปก็เลยช่างแมร่ง ไม่อยากให้รู้นักก็ไม่เอาก็ได้ ตั้งหลายอย่างที่ไม่ได้มา อันนี้ก็คงเป็นอีกอย่าง

จนได้มาถึงจุดนึงคือจุดที่ได้เห็นหน้าจอคอมของเพื่อน เพื่อนหลายๆคนกว่า 80% เปิด FB เปิด Line คาไว้ มีแชทบ๊อกซ์อยู่บนจอมากมายที่กำลังคุยอยู่ จริงๆก็ไม่ได้อยากเห็นหรอกเพราะบางทีเห็นแล้วมีแต่เพิ่มเรื่องให้คิด

พอตอนมีทีมทำเกม เพื่อนมาทำงานที่ห้อง ก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้เหมือนกันว่า "ข้อความ" ของคนอื่นนั้นมันเป็นยังไง เด้งทุก 1-3 นาที ทั้งวันไม่หยุดเลย สลับไปมาระหว่างเฟซบุ๊คกับงานได้ตลอดวัน นี่คือเรื่องปกติเหรอ ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องปัญหานี้หรอกนะ แค่คิดว่าเพราะแบบนี้งานเลยไม่เดินเฉยๆ

จุดนั้นก็พอจะรู้แล้วว่าเราไม่ค่อยจะเหมือนคนปกติ แต่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นปัญหาขนาดนี้

จากที่ไม่เคยมีโอกาสได้พิมพ์นานๆเข้า ตอนนี้มันพัฒนาเป็นต้องการพูดได้ไง แต่น่าจะเกี่ยวกันอยู่นะ

เหมือนว่าจริงๆแล้วลึกๆแมร่งโคตรอยากคุยเลย แต่ปีหรือหลายปีที่ผ่านมามันก็ไม่มีช่องทาง มันก็งั้นๆเดี๋ยวก็หายไป แต่พอมันทำได้ขึ้นมาเท่านั้นแหละ ไม่รู้สิ มันเก็บปัญหาไว้กับตัวไม่ไหวแล้วน่ะ บางอย่างที่ไม่ได้บอกใครมาเป็นปีครึ่งก็หลุดหมด พิมพ์เอามันก็ไม่ใช่ด้วยนะ การพิมพ์มันไม่ช่วยอีกต่อไปแล้วสำหรับคนที่ทำงานพิมพ์โปรแกรมทั้งวัน มันด้านชาไปหมดตั้งนานแล้ว

อีกใจนึงก็ดันคิดว่าการโทรไปมันเป็นการรบกวนเพราะประสบการณ์เก่าๆไม่ค่อยเวิร์คเลย แต่ถ้าคิดแบบนี้การมีคนคุยด้วยก็ไม่มีความหมายอีก งงดี

ที่เราไม่่ชอบแฮงเอาท์กับคนไทยที่นี่ไม่รู้เกี่ยวมั้ย ที่นี่เห็นแต่คนไทยด้วยกันนี่แหละที่นั่งเช็คมือถือทุก 1 นาทีบนโต๊ะอาหาร คนญี่ปุ่นนี่ไม่มีเลย ส่วน ตปท. นี่ประมาณ​ 5 นาทีครั้งแต่ก็รีบเก็บลงไปมาคุยต่อ คือพอมีโอกาสได้มานั่งกินข้างด้วยกันกับคนไทย (ซึ่งก็นานๆที) ก็ได้นั่งมองคนเล่นมือถือกันทุกที จนได้สังเกตุว่ากี่วินาทีถึงจะเงยหน้ากลับขึ้นมา ก็งงเหมือนกัน เพราะพอไม่เจอกันก็โดนบ่นว่าหายหน้าหายตา - - เป็นงี้บ่อยๆมันก็อยากคุยน่ะ อยากได้พูดบ้างอะไรบ้าง

กลับมาเข้าเรื่องเดิมต่อ คือจริงๆหลังคุยเสร็จแมร่งมันไม่ได้เปลี่ยนผลลัพธ์เลยนะ คือแค่บ่นกับได้คอมเมนต์เท่านั้นเอง สิ่งที่คิดจะทำก็เหมือนๆเดิม

แต่แมร่งมันช่วยเรื่องใจได้มากจริงๆนะ คือฟื้นเร็วมาก ปกติใช้เวลาเป็นหลายวันถึงสัปดาห์ถึงจะหายไป แต่นี่แค่คุยเสร็จก็โอเคแล้ว คุยเสร็จก็กลับมาทำงานทำอะไรต่อได้เลย

สำหรับคนปกติที่เข้ามาอ่านนี่คงจะรู้สึกว่าเวอร์ไป จริงๆก็คิดอยู่ว่ามันเวอร์ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว

ก็เลยทำให้ได้คิดว่า ถ้าเราได้รับฟังปัญหาใครแล้วมันช่วยคนๆนั้นได้ เราก็คงจะดีใจมากเลยนะ แต่ในชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาแทบนับครั้งได้ที่จะมีคนมาปรึกษาอะไร เพราะอะไรก็เพราะต่อเนื่องมาจากความคิดที่ว่าเป็นคนอยู่นอกวง คุยไปก็คงไม่ได้อะไรอยู่ดี (จริงๆน่าไม่มีในช๊อยส์ตัดสินใจเลือกปรึกษาปัญหาเลยมากกว่า) พอสองอย่างมันเสริมกันแบบนี้มันก็เลยกลายเป็นหายหมดเลยน่ะสิ

"Everything will go wrong" อันนี้คือสิ่งที่คน negative และค่อนข้าง introvert แบบเราชอบคิด "and you cannot do anything about it" แต่ถึงคิดแบบนี้ก็ยังลงมือทำต่อไป เพราะเป็นแค่ความคิดหลอกตัวเองเบาๆ

ถ้ากำลังรีบขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนๆมันจะจอดกลางคัน ถ้าตั้งใจทำอะไรประกวดมันจะไม่เข้ารอบ ถ้าเดินทางก็คงตกรถไฟ ไปร้านไหนก็คงจะปิด วันไหนตั้งใจออกไปเที่ยวเล่นฝนก็ตก ถ้าพยายามมันจะไม่ได้ ถ้าเชื่อว่าเดี๋ยวก็มา มันจะไม่มา

พอคิดแบบนี้ดักไว้ก่อน (แล้วก็ชอบเป็นจริงซะด้วยสิ) พอมันเฟลจริงก็จะได้ "55 ว่าละ" แต่ถ้ามันได้ขึ้นมามันก็จะ "เฮ่ย ไม่น่าเชื่อออ" เห็นมั้ยว่า win win ทั้งนั้น..

"..but after that you can actually do something!" แต่ถึงอะไรแย่ๆจะเกิดขึ้นและเราหยุดมันไม่ได้ แต่หลังจากนั้นเราสามารถทำให้ความรู้สึกแย่ๆหายไปได้ เทียบกับเน็ตเวิร์คก็คงเหมือนกับไม่ทำ error prevention แต่ไปทำ error correction แทน.. หนึ่งในวิธี ก็คือการพูดคุยนี่ล่ะนะ ถ้าเกิดว่ามีคนให้พูดคุยตลอดเวลาก็คงจะดีนะ

ตรงนี้เราขอขอบคุณเพื่อนคนนั้นอีกครั้งก็แล้วกัน โคตรช่วยเลยอะแต่คงไม่รู้หรอกว่ามันขนาดนี้ จริงๆคงไม่เข้ามาอ่านหรอก ถ้ามาเห็นว่าแค่คุยกันทีเดียวกลายเป็น blog โพสต์นึงคงจะตลกน่าดูเพราะงั้นไม่เห็นก็น่าจะดีแล้ว

ปล. เปิด iPod ไปเจอภาพถ่ายเพิ่งจำได้ว่ามันพีคตรงนี้ด้วย คือเดินปลีกตัวออกมาจากปาร์ตี้ แล้วเจอแมวที่ไม่ค่อยได้เห็นพอดี คือแมร่งจังหวะนั้น ดีใจมากอะ เรียกแล้วมาหาด้วย เหมือนว่าเจอแล้ว คน(ตัว)ที่แมร่งเข้าใจเราได้โผล่มาช่วยแล้ว พอดีสุดๆ คือเมื่อวานเนี่ยกอดมันแบบอยากให้มันพูดได้มาก





No comments:

Post a Comment