ความรู้สึกดีๆที่ไม่เคยจางหาย
Tuesday, November 18, 2025
Thursday, December 7, 2023
ชอบถูกคนจริงๆด้วย T T
เมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา (เขียนย้อนหลัง คิดตั้งแต่เย็นวันนั้นละว่าจะเขียนแต่ผลัดวันไปๆมาๆ เวลาไวจัง) ได้โอกาสโดยบังเอิญสุดๆเจอคนที่เคยชอบ จริงๆก็ไม่ใช่แค่เคย หลังจากโดนหักอกเสร็จแล้วเป็นเพื่อนกันต่อไปตามเดิมมาจนตอนนี้ ก็ยังชอบเหมือนเดิม
รู้สึกมาตั้งแต่ตอนไหนก็คงตั้งแต่เรียนเลย ยังจำทุกโมเมนต์นานๆทีที่ได้อยู่ใกล้ๆกันได้หมด ตอนเรียน ตอนทำโปรเจคต่างๆ ทั้งซ้อนจักรยาน ทั้งช่วงนึงที่ใช้ภาพโปรไฟล์เป็นภาพที่เราถ่ายให้ ทั้งงานห้องมืดตอนนั้น ทุกเที่ยวที่นานๆทีจะมาให้เห็นบ้าง
ถ้าไปดูไดอารี่ที่เขียนไว้ตอนนั้น (ซุกอยู่ในหอที่กรุงเทพ ถ้าผมตายไปแล้วใครผ่านมาเห็น blog นี้ เอาไปให้เค้าอ่านหน่อย เล่มเล็กๆปกลายจุดอยู่ลิ้นชักใต้ทีวี แต่ถ้ายังไม่ตายอย่าบุกเข้ามาเอานะ!)
จนหลังเรียนจบ จนก่อนไปเรียนโท แล้วสองปีที่อยู่นั่นก็คิดมาตลอดว่าจบกลับมาแล้วก็จะได้บอกซะที คิดว่าปั่นเปเปอร์ AR ไร้สาระนั่นจนจบมาได้ ก็เพราะมีแรงผลักดันโง่ๆแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ 555
พอกลับมาก็ไม่รู้จะเอาโอกาสไหนเนียนๆไปเจอกันได้ (ตัวเองเป็น game dev อยู่คาเฟ่มันจะเจอได้ไงถ้าไม่นัดตรงๆ แต่นัดตรงๆยิ่ง awkward เพราะเราไม่ใช่คนแบบนั้น) จนผ่านไปปีกว่า จนได้โอกาสเคลียร์ความในใจกับอีกคน ที่เคยชอบหน่อยๆเหมือนกัน แต่ตอนนี้ถึงไม่แล้วเราก็ยังคาใจว่าถ้าไม่ได้บอก (บอกเฉยๆว่าเคยชอบ) คงจะเสียดายไปตลอด เราก็ได้บอกไป แล้วเค้าก็ขอบคุณ เป็นอันจบเควสย่อยด้วยดี ถ้าตายวันถัดๆไปก็คงเสียใจน้อยลงครึ่งนึง เพราะยังเหลือเควสหลัก กับทุกคนที่เคยชอบในอดีตที่ผ่านมาก็บอกด้วยปากจริงๆหมดแล้ว
...แล้วมีโอกาสเนียนจริงๆเกิดขึ้น (เห็นตัวทีรู้สึกเหมือนเห็นโปเกม่อนในตำนาน คือคิดดูว่า ภาพเค้ามีแต่ในใจมาตลอด 2 ปีที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วบวกอีก 1~2 ปีหลังกลับไทย.. แบบ ตัวจริงเป็นงี้นี่เอง)
วันนั้นก็เลยลากๆมาท้ายแถวเพื่อนไม่อยากให้ใครได้ยินแล้วก็บอกเลย เรียนรู้มาเยอะแล้วว่าชีวิตไม่ได้เหลือเวลาพอที่จะรอโอกาสหน้า หลังจากที่รอมา 4-5 ปีตั้งแต่สมัยเรียน เรียนจนได้มาอีกใบ
เค้าก็งงว่าไปทำตัวให้ชอบตรงไหนไม่เห็นจะรู้เรื่อง คือแค่เห็น routine ปกติต่างๆของเค้าระหว่างเรียน ก็คิดว่าถ้าได้ใช้ชีวิตกับคนนี้ตลอดไปคงจะไปด้วยกันได้จนแก่แน่เลย แบบ ข้อเสียของเค้ากับข้อเสียของเรามาอยู่ด้วยกัน มันคงโอเคมากๆๆ ไม่ต้องทำตัวให้ชอบซักครั้งก็ไม่เห็นเกี่ยวกัน เพราะถ้าคบกันจริงๆก็คงเป็นปกติๆแบบนี้แหละที่เราสบายใจ
จากนั้นก็เป็นหนึ่งในคืนที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตเพราะเย็นวันนั้นไม่ได้คำตอบ (กำลังจะไปกินเลี้ยงกันเฉยๆ ก็เข้าใจอยู่ว่าถ้าตอบเลยอาจจะ.. เกิดเรื่องไม่แน่นอน) แล้วเราก็บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยตอบก็ได้ แต่ก็เน้นว่าอยากได้คำตอบเพราะครั้งที่ผ่านมาเหมือนไม่ได้คำตอบชัดเจน แล้วให้เราคิดเอาเองว่าตอบไม่ แล้วมันค่อนข้างเจ็บอยู่นะ แบบ เจ็บนานเรื้อรัง
แล้วหลังจากไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งรอคำตอบ ถึงเวลา 6-7 โมงเช้าก็ได้คำตอบผ่านทาง messenger ก็เป็นอันอกหักไปว่าเค้าไม่ได้คิดกับเราแบบนี้ (ขอบคุณจริงๆนะที่อุตส่าห์ตื่นมาตอบ)
จากตอนนั้น (อันนี้ถ้าไปอ่านไดอารี่ที่ว่า คงจะเป็น content เดียวกัน) ก็แบบแทบจะเดินเบี้ยวเลยเวลาไปทำงานคาเฟ่ (จำได้ว่าเป็นประมาณ 10 วัน ถ้าเซิจ Twitter (X) แล้วถูกวัน จำได้ว่าเพ้อเจ้ออะไรซักอย่างไว้เกี่ยวกับเดินไม่ตรง) เพราะเหมือนเป้าหมายที่ยึดมาตลอด 4-5 ปีมันโหว่ไปซะงั้น แต่มันก็ฟินนะที่เราจบผ่านช่วงชีวิตใหญ่มาได้อีก milestone นึง แล้วที่สำคัญคือได้คำตอบจริงๆ เราก็เป็นเพื่อนกันต่อไป
แต่เพราะเราไม่ได้ชอบเค้าเพื่ออยากได้เป็นแฟนเฉยๆ เราชอบเค้าเพราะเค้าเจ๋งจริงๆ ความชอบมันก็ดันไม่ได้หายไปไหนกับแค่อกหัก (ไม่เหมือนกับการไม่ move on) โชคดีที่ต่อจากนั้นก็มีเรื่องจิปาถะได้คุยเล่นกันใน Line มาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เด้งมาแล้วเป็นชื่อเค้า มันแบบโคตรดีใจ กลิ้งสิบตลบบนเตียง made my day มากๆ 555555 เหมือนคนบ้าเลย
มีเรื่องไร้สาระนึงต่อมาคือ Netflix มันเริ่มจับครอบครัวปลอม 555 แล้วเกี่ยวกันยังไง คือรู้สึกว่าเรากำลังจะเสียโอกาสอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ที่จะได้คุยกับเค้าต่ออย่างเป็นธรรมชาติอะ 55555 ติงต๊องจริงๆแต่ก็เสียใจจริงๆ แต่ก็นะ กติกาก็คือกติกา ยอมสมัครไอดีบ้านของแท้แต่โดยดี (ซึ่งก็มีแต่แม่ดู)
อันนี้ยังไม่ถึงประเด็นเลยนะว่าชอบถูกคนอะไร แต่ได้โอกาสเหลือเชื่อประทานมาโดยเควส DBD ส้นตีนที่จะได้เห็นตัวเป็นๆอีกครั้ง (โปเกม่อนในตำนานอีกครั้ง) แล้วก็นี่แหละ พอไปเห็นตัวจริง แม้จะแค่ไม่กี่นาที แต่เป็นไม่กี่นาทีที่ build up มาเป็นปี แถมยังเป็นโอกาสที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนด้วยนี่สิ (ไม่เหมือนเย็นวันบอกชอบนั้นที่เพื่อนนัดกันก็เลยเตรียมใจมาหน่อยแล้ว)
จะร้องไห้ (แต่เก็บไว้ไปกรี๊ดหลังกลับห้องดีกว่า)
เค้ายังดู น่ารัก ชิบ หาย เหมือนเดิม นิสัยเอื่อยเฉื่อย เรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม เป็นคนเดิมตามที่เราวาดภาพในหัวไว้ทุกครั้งที่แชทใน Line ตั้งแต่ Netflix ยังไม่ยึดครอบครัวคืน แชทไปกลิ้งๆจิกหมอนอยู่คนเดียวในห้องไป คนเดิมที่เราคิดว่าอยากใช้ชีวิตด้วยกันตั้งแต่ตอนนู้นนนน
แต่ยังไงเราก็ต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้แล้วทำตัวปกติต่อไปเดี๋ยวเค้าว่าบ้า (ขอบคุณคุณเพื่อนที่ขับรถด้วยครับที่ทำให้วันสุดพิเศษนี้เกิดขึ้นมาได้)
ตอนนั้นแหละที่รู้สึกดีมากๆ ว่าเราแม่งชอบถูกคนจริงๆด้วย (ติดนิดเดียวแค่เค้าไม่ได้คิดกับเราแบบนั้นอะ 555) ถ้าเวลามันจะผ่านมาขนาดนี้ ไม่ได้เห็นกันนานขนาดนี้ มาเห็นอีกทีตอนอายุ 30+ ป่านนี้แล้วยังดีใจเหมือนกลับเป็นวัยรุ่น เราคงชอบถูกคนตั้งแต่ 6-7 ปีที่แล้วแหละ
คิดอยู่ว่าสถานะแบบนี้มันก็ดีนะ ถึงจะไม่ดีที่สุดแต่ดีกว่าแบบอื่นๆที่เป็นไปได้อีกหลายแบบเยอะ อาจจะฟังดูเว่อร์ แต่รู้สึกฮึดอยากมีชีวิตต่อไปจนกว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีก เจอกันเฉยๆ เห็นหน้ากันเฉยๆนี่แหละ
แล้วทำไมเพิ่งมาเขียนเอาป่านนี้ คือเพิ่งเอามาเคลือบ (ร้านก็เก่งด้วยที่ประกอบรอยฉีกให้ใกล้เคียงที่เดิมได้...) เราเก็บของที่เคยได้จากเค้าทุกชิ้น (เคยได้ภาพ portrait ตอนนี้ภาพนั้นก็เก็บอยู่ใกล้ๆไอ้ไดอารี่ลายจุดนั่นแหละ) รวมทั้งของคนที่ผ่านมาที่เคยชอบด้วย เช่นอมยิ้มรสส้มที่ยังเน่าอยู่ในเป้ตอนนี้โดยที่ไม่มีมดตัวไหนมากินได้ตลอด 6-7 ปี
ปล. ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆชิ้นนี้ก็ยังอยู่ เข้าใจว่าปากกาโง่ๆพังเค้าเลยโยนเปลือกให้เราไม่ได้คิดอะไร แต่เราดันชอบเค้าอยู่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แล้วบนปากกามีคำว่า I LOVE YOU (เป็นลายภาษาอังกฤษ random โง่ๆตามสไตล์เครื่องเขียนเถื่อนๆ ไทยๆ) ที่เค้าคงไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้นแค่เอาขยะให้เรา เออ แต่เราคิดนี่สิ 5555555555555555555 เก็บขยะติดตัวมาตั้งแต่วันนั้น ไปเรียนโทที่ญี่ปุ่นด้วยกันกับซากอมยิ้มและซากปากกา 55555
(อันที่จริงไอ้ขนมสีชมพูนี้ชื่อภาษาญี่ปุ่นก็ชวนคิดมากเหมือนกัน ว่าเรายังมีหวังรึเปล่าถ้าเราบอกเค้าอีกที แต่คิดว่าเค้าคงไม่ได้อ่านออกขนาดตั้งใจสื่อความหมายซับซ้อนขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง เค้าให้ทุกคน 555)
Saturday, January 28, 2023
ญี่ปุ่นอีกครั้ง
ได้ไปญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากตั้งแต่จบโท! ตื่นเต้น ติดโควิด ทำงานหาเงินมานาน
อย่างแรกที่นึกถึงก็ต้องเป็นเจ้าอมยิ้มเนี่ย ที่เปลี่ยนกระเป๋ามากี่ใบก็พาย้ายตามมาด้วย (โชคดีที่จนป่านนี้มดก็ยังหาไม่เจอ เพราะเป้เคลื่อนที่ตลอด...) ทุกครั้งที่ย้ายกระเป๋าก็จำได้ว่าถ่ายรูปประมาณนี้ไว้
อย่างที่สองก็คงเป็นทริปนั้นที่โดดแลปไปกับเพื่อน ทริปนั้นชอบมาก เหมือนฝันกับหลายๆอย่าง ทั้งเขียนเมลสุดซึ้งหาอาจารย์ให้ปล่อยให้มาเที่ยว จังหวะต่างๆ และเพื่อนๆในกลุ่ม
รอบนี้ไม่ได้ย้ายกระเป๋า แค่รู้สึกอยากเขียนแบบ blog เป็นที่ระลึกไว้บ้างว่ามันยังอยู่ เผื่อภาพที่ผ่านๆมาหายไปอย่างน้อยก็จะได้ยังมีอยู่ในเน็ต ซักภาพนึง 555
Sunday, July 4, 2021
รีวิวโฮจิฉะ (Houjicha) ใน Shopee
กิน Houjicha Latte บ่อย ตอนนี้ต้องอยู่บ้านบ่อยขึ้นกับ Shopee กำลังบูม ก็เลยลองสั่งมาหลายๆผงมาเทียบกันดู
ก่อนการทดลอง
- ทุกชา ชงกับนมร้อน 55 องศา ไม่ใช่น้ำเปล่า เพราะส่วนตัวไม่ได้อยากซื้อโฮจิฉะมาชงน้ำใส อยากกินเป็นของหวาน 55 องศาคืออุณหภูมิที่ barista ตีฟองนม คือดึงความหวาน ผลึกไขมันเป็นของเหลวหมด แต่ อยู่ก่อนหน้าที่โปรตีนจะ denature จนตีฟองไม่ขึ้น และอยู่ก่อนหน้า scalding temperature ที่นมจะรสเปลี่ยนถาวร
- มีแค่ชากับนมสด ไม่มีน้ำตาล
- ชา 2g นม 50g เสมอ (ก็คือค่อนข้างเข้ม สูตรขายปกติรู้สึกจะของเหลวรวม 150g ในชา 2g-5g)
- ตีให้ละเอียดด้วย chasen
- ชั่งน้ำหนัก by weight ด้วยเครื่องชั่งแม่น max 50g (พวกผงๆ ใช้ by volume แบบช้อนชาไม่ได้ ความหนาแน่นต่างกันมาก)
- ทุกผงเป็นชา 100% ไม่ใช่ premix ต้องผสมนมน้ำตาลเอาเอง
DDD
แย่!
ชา Drink Drank Drunk (DDD) อันนี้ กลิ่นไม่มีเลย (หมายถึงไม่มีกลิ่นชา แต่มีกลิ่น กลิ่นเหมือนน้ำเปล่า ที่ pH ไม่กลางเท่าไหร่ กลิ่นเบาประมาณนั้น)
นอกจากนี้รสชาติผิดพลาดร้ายแรงตรงที่มัน.. ซ่า เป็นรสเขียวๆ ซ่าๆ เหมือนกินหญ้าที่กินไม่ได้ เหมือนใบไม้ผสมยาหม่อง 555
แน่นอนว่า affinity กับนมไม่มี เพราะความดิบซ่ามัน jarring มาก แต่ชงกับน้ำเปล่าก็ไม่เหมาะเหมือนกัน เอาไปแอบใส่ขนมอบยังไม่ค่อยอยากเท่าไหร่เลย
ราคา กรัมละ 1.3 บาท หากจะขายสูตร 5g ต่อแก้ว แก้วละ 6.5 บาท (โคตรถูก)
Matchazuki Uji Houjicha
Matchaten Moody Houjicha
อย่างแรกที่น่าสนใจของชานี้คือ สีตอนละลายมันน้ำตาลไหม้มาก ไม่กากีเหมือน Uji Houjicha ของ Matchazuki หรือแม้แต่ของ DDD
Kawami คาวามิ
Maruzen มารุเซ็น
โฮจิฉะอื่นๆแต่ไม่มีตังลองแล้ว
Sunday, October 18, 2020
Saturday, August 22, 2020
2 + 2 + 2 + 1(d) + ? + 今
บางทีก็สงสัยว่ารออะไรเวลามันก็โหดร้ายเกินไป! แต่เป็นโรคจำเวลาฝังใจมาแต่ไหนแต่ไร บางทีก็ไม่ค่อยดีกับสุขภาพจิต นี่ใกล้จะ epic เท่าเรื่อง 10 นาทีนั่น กับติดพายุละ แต่คนละ genre
6 ปีกับ 1 วันก็ว่าพีคละ ตอนวืดนั่นก็ นะ
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก today is the day
มองย้อนหลังดูนาน แต่ดันนั่งนับถอยหลังมาเรื่อยๆ เออตื่นเต้นดีก็ดีเหมือนกัน
ตอนแรกกลัวเดินไม่ตรงเหมือนวันนั้นอีก 555 จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าโน่นนี่นั่น simulate ไปซะกี่กรณี
ผลคือคิดว่าหลายๆอย่างดีกว่าที่คิด ปกติกว่าที่คิด มีแต่เรานี่แหละที่คิดมาก
แต่ก็ดีเหมือนกัน ความสุขขขเล็กๆ มาจากการที่รอช่วงเวลามานานแล้วในที่สุดก็มาถึง ตลกก็ตลกดีเหมือนเป็นบ้ากับอะไรแค่นี้ แต่โดยรวมดีๆๆๆๆ ความสุขมวลรวมเป็นบวก if it ain't broke don't fix it
ยังไงโดยรวมก็ ดี (มาก) ไม่มีอะไรจะเสียดายนี่แหละดี กว่ากรณีอื่นๆที่อาจจะแย่กว่านี้เยอะ เย้..!
Savor this moment.
Until the next time, if there is one.
โรคคิดว่าทุกครั้งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นครั้งสุดท้ายกลับมาทุกที แต่นั่นคือสิ่งที่ทำให้ทุกครั้งมีความหมาย มีความหมายจนต้องอัพบล็อคแน่ะ
And yes I actually just updated the blog because I was happy. What a blasphemy!
Monday, December 2, 2019
Ridiculousness
I have had the 1 year wait that results in a 1-2 minutes outcome before. Great, still something tangible no matter how small that is. I thought I am ready for anything after this point.
That epic thunderstorm survival event that turns out empty. Questionable, but I was getting used to this I think it's normal that things wouldn't go as I want to most of the time.
The car then overheat and broken at the very important moment. That is just golden.
I do remember the eclair. Still fails. That made me think about a piece of colored paper I intended to keep it preciously but still manages to lose it. Good thing that last one is still here in my bag, I learned from my mistake. The stupid broken shell of a previously-a-pen is still here too. I still don't know what that means but I keep what makes me happy.
How about that and that and.. there are too many to recall here. Maybe you can just read one of my diary when I die. Or maybe I didn't write those down at all, not that I have enough guts to go and check them.
The most recently is this, 2 years of wishful hope. It was still not stupid, but that didn't happen either, and then after that day I got it cleared out finally and there is no more reason to hope. But it didn't hurt anyways so it secretly turned into a pointless, stupid, and even fun hope that it is OK on any outcomes. I thought that was the best state to be in honestly, and I was able to walk straight again by keeping it like that.
Then lol, a year after, totalled to 3 years, it happened except that I missed it. The chance to be happy for about 5 minutes I could have. All 3 years considered, I should have got this statistically speaking. Then of course! It happen on just 0.5% of the time that I could miss. This is completely ridiculous, I laughed wryly in my mind. Immediately all my past ridiculousness came back to remind me how everything magically fails.
Well I was wrong, it did hurt. Maybe only a bit, because it is completely ridiculous in both how low the chance that it could happen but it happens anyways, and the stupid reason to hope for it. I could have been a bit happier if I got that, but it would have been a big achievement. I keep regretting to the what-if scenario if I got that very small but important happiness.
One funny thing, I think it would be 0 or +, if it didn't happen then that's fine. If it happen then it's a small boost in happiness. But given how low the chance of it happening, when it did happen AND I know I missed it, there is a hidden - appearing from nowhere!
There is no going back to get it, I should hope for the next future where next thing fails, but I can't help regretting. Well, damn.
Life's crazy, maybe I was blinded by only the things that went wrong and not seeing the thing that goes right. But hoestly now that a day passed and I calmed down, I can't still think of anything that goes right recently or even counted years or 2 years prior.
Maybe I could count that I successfully made a crispy pork by research, or that I finally made over 5000 THB income from my passives I built? Well, those are nice. But the thing that hurt the most scales according to how you had been working for it. Those somehow always crashes, hard. By always, I think there is no long-term things that goes well so far.
Also I wondered why human are somehow wired to kill itself when these thing repeatedly happen. This thinking will be a funny one after some days passed but it was surreal when it came to mind. It is just ridiculous that something as long as in "years" unit just goes poof, in a matter of realization. And everytime, unbelievable.
I just have to stay strong to my personal point of life : "to keep living to see the next event whether that is a bad or good one". But I just hope that type things out in a blog that no one would came across should help me out some more now that the wound is still fresh.
Anyways, all of these are all stupid. The only problem that it hurts for real, which is also stupid. I wish I choose to not knowing about something more often, maybe I would be happier that way.
