Tuesday, April 5, 2016

กลับไทยอีกและ? (ไม่กลับแล้ว...)

วันนี้ไม่ได้นอน ตอนนี้ตี 5 ครึ่งแล้ว เพราะอยู่ๆก็คิดอยากกลับไทยช่วงสงกรานต์ (กลับแบบดาบหน้าแทบทุกรอบ)

มีเพื่อนคอมเมนต์ว่าเมิงกลับไทยอีกแล้วเหรอ...

คือพอมาอยู่นี่นี่คือ ครอบครัว เพื่อนที่ไทย ฯลฯ มันกลายเป็นของหายากไง ตอนอยู่ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนแฟนตาซี คืออยู่ญี่ปุ่นแบบคนญี่ปุ่น วนอยู่แค่ห้องนอน เซเว่น แลป ห้องนอน แล้วพอตอนวันหยุดปุ๊บก็เข้าเมืองไปเล่นเกมไปหาร้านอาหารกิน แล้วก็กลับมา วนเหมือนเดิม... เหมือนตอนอยู่ไทย ทั้งที่มีทะเลสวยๆที่คนต่างประเทศหมายปองกันเยอะก็ไม่ได้ไปรัวๆนั่นแหละ ความรู้สึกเดียวกันเลย

ตะกี้เพิ่งคุยกับเพื่อนสมัยมัธยม ตอนนี้มันเรียนอยู่ฟิลิปปินส์ (หรืออินโดวะ) มีคำนึงที่เห็นด้วยมาก คิดเหมือนกันเลย คือมันพูดว่าตอนกลับไทยแทบไม่อยากนอนเลย อยากใช้เวลาให้คุ้มค่า คือมันจริงมาก เป็นบทเรียนนึงที่สำคัญเลยเวลาได้มาอยู่ต่างประเทศ แต่ก็คงขึ้นกับคนด้วยแหละเพื่อนหลายๆคนไปเรียนต่างประเทศแล้วก็เที่ยวรัวๆไม่ค่อยสนใจจะกลับไทยเท่าไหร่





เห็นเพื่อนไทยที่อยู่ที่นี่หลายคน คืออยู่ประเทศนี้แบบนักท่องเที่ยว ไล่เที่ยวหลายที่ ซื้อสโนวบอร์ด ซื้อจักรยานเป็นแสนเยน คนเรามันคงต่างกันจริงๆ จริงๆเราก็อยากเที่ยวที่นี่ไปหลายๆเมืองนะ แต่พอมีโอกาสทีไร มันก็มีโอกาสสำคัญเกิดขึ้นที่ประเทศไทยทุกทีสิน่า ตอนไม่มีอะไรที่ไทย ก็ดันติดแลป ไม่ก็ติดทำเกม ไม่ก็ติดร่วมกิจกรรมแต่งเพลง หรือต้องปั่นเรียนญี่ปุ่น ทำเอาไม่ได้ไปไหนซักที

กลับไทยทีนึงใช้เงินเท่าไหร่ ก็ประมาณ 50000 เยนได้ รวมค่ากินค่าอะไรทุกอย่างก็ประมาณ​ 20000 บาท! หลายคนอาจว่าบ้า แต่พอดีได้ทุนรัฐบาล ก็เลยตัดสินใจง่ายขึ้นหน่อย (เดือนละ 140,000 เยนแน่ะ)

กลับแต่ละทีก็ไม่ใช่ว่าไม่คิดหนัก เพราะ 20000 บาทนี้ ถ้าทำตามแผนกลับไทยไปทำเกมต่อ ก็อยู่ได้ประมาณ​ 2-3 เดือนเลยแหละ

แต่ทุกครั้ง เรารู้สึกว่ามันกำลังมีอะไรบางอย่างที่กำลังจะเป็นครั้งสุดท้ายทุกที "Is this the last time?" (แนวคิดนี่ว่าจะเอาไปใส่เป็นแกนหลักของเนื้อเรื่องมิวสิคเกมที่ทำอยู่ด้วย) ตั้งแต่ตอนประมาณ มหาลัยมั้ง ที่อยู่ๆอะไรก็เริ่มไม่เคยเป็นไปตามที่คิดก็เลยเริ่มกลายเป็นคน negative 555 แล้วก็เริ่มยึดในประโยคนั้นขึ้นมา กลายเป็นคนมีลางอยู่เรื่อยเลยว่านี่สุดท้ายรึเปล่านะ เวลากลับมาไทยแต่ละทีตอนแยกย้ายกับเพื่อนจะใจหายเป็นพิเศษ ตั้งแต่ประมาณกลางชีวิตมหาลัย เวลาส่งใครกลับ แยกย้ายกับใคร ก็ชอบยืนมองจนลับสายตาทุกที รู้สึกเข้าใจว่า Living in the now เป็นยังไง เวลาร่วมโต๊ะอาหารหรือเดินทางกับใคร ถ้าไม่น่าเบื่อจริงๆแทบไม่กล้าหยิบมือถือมาไถเล่น เพราะกลัวพลาด...

มาคิดดูตอนนี้ หลายๆอย่างมันก็เป็นครั้งสุดท้ายไปจริงๆล่ะมั้ง (หรือจะมีอีกในอนาคต? อย่างว่า เราไม่มีทางรู้ได้เลย)

ปีที่แล้ว กลับไทย 4 ครั้งรึเปล่านะ!

1 กลับตอนช่วงวันเกิดมั้ง มีอะไรบ้างหว่าจำไม่ค่อยได้ละ
2 กลับอีกทีเพราะอยากไปร่วมงาน Unity ที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย งาน Unity ก็โอนะได้คอนเนคชั่นนิดหน่อยแต่งานก็น้อยกว่าที่คิด แต่ที่คาดไม่ถึงจริงคือได้นัดคุยกับ rep. ของ Apple จนได้เกิดความสัมพันธ์กันจนได้ฟีเจอร์เกมช่วงวันแม่ และอีกครั้งที่จะเกิดขึ้นในสงกรานต์ที่จะถึงนี้ มาคิดดูอีกทีแล้วก็คุ้มว่ะ
3 กลับไปตอนช่วงทริปภาค เพื่อนบางคนอยู่ไทยแท้ๆไม่มา แต่ส่วนตัวคิดว่ามันสำคัญ.. แล้วก็สำคัญจริงๆด้วยสิพอย้อนนึกดูแล้วว่าไม่ได้ไปคงจะเสียดาย เพราะบางๆอย่างมันจะไม่กลับมาแล้ว
4 กลับไปตอนเดือนธันวา เพื่อไป Barcamp กับไปงานรับปริญญาเพื่อน แล้วก็ไปมีตติ้งทีมร่วมกิจกรรมในเน็ต แล้วก็ควบวันพ่อด้วยเลย ไอ้บาร์แคมป์นี่ เห็นเพื่อนๆบอกว่าเวอร์เหมือนกัน เมิงกลับมาเพื่อมางานบาร์แคมป์บางเขนเนี่ยนะ! แต่มาคิดดูตอนนี้ถามว่าเสียดายมั้ย ไม่เลยจริงๆ คือแมร่ง มันเป็นงานที่รู้สึกว่าเรามีค่าอะ ไปพูดเรื่อง DJ อะไรไม่รู้ คนที่มาฟังก็ใช่ว่าเป็นพัน มีนิดเดียว เพราะงั้นเรื่องหวังชื่อเสียงอะไรก็ตัดไปได้เลย แต่มันสนุกจริงๆ รู้สึกดีมากจริงๆนะ ส่วนมีตติ้งทีมกิจกรรมในเน็ตก็แค่กิจกรรมไร้สาระที่แต่งเพลงทำวิดิโอด้วยกัน แต่รู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เท่ดีนะ หลายๆคนก็ไม่เคยเจอหน้ากันแท้ๆ วันนั้นก็ไม่มีอะไรมาก กินข้าวเล่นเกมกัน แต่รู้สึกได้ว่ามันจะโยงให้เกิดอะไรแปลกๆขึ้นในอนาคต!? (world line จะเปลี่ยนรึเปล่านะ) แล้วก็ก่อนกลับได้กินข้าวกับเพื่อนๆมหาลัยอีกครั้งนึงที่ไม่ได้เจอกันมานาน หลายๆคนมาในชุดทำงาน กินกันเสร็จก็เหมือนไม่มีอะไร แยกย้ายกันกลับ แต่ความรู้สึกของเรามันคนละเรื่องเลย มันไม่เหมือนตอนสมัยที่อยู่ไทยตลอดเวลาจริงๆนะเวลาแยกย้ายกันกับเพื่อนเนี่ย เหมือนแบบตอนนี้ไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกันแล้ว วันพรุ่งนี้ของเพื่อนๆยังเหมือนเดิม แต่ของเรากว่าจะได้สิ่งนี้มามันก็ยากพอสมควร ก็เลยคิดว่าดีนะ ได้คิดหลายอย่าง

รวมแล้วเสียไปประมาณ 200,000 เยน คุ้มไหม... จริงๆก็น่าคิดหนัก จนกระทั่งเอามาเทียบกับของ tangible เช่นถ้าคิดว่าได้จักรยาน 1 คันหรูๆกับกล้องเทพอีกตัวราคานี้ รู้สึกว่าคุ้มขึ้นมาทันที สงสัยจะกลายเป็นคนเสพติด event แล้ว ประมาณว่า การใช้เงินซื้อโอกาสพบเจออะไรแบบนี้มันมีค่ามากกว่าของใช้ของครอบครองมากมายเลย... (เป็นคนไม่ค่อยชอบซื้อของด้วยแหละ มือถือ Xperia M เก่าของไทยก็ยังใช้อยู่เลย)

และครั้งนี้อยู่ๆก็จะกลับกะทันหันอีกแล้วเพราะอะไร
1. แน่นอนว่าสงกรานต์ กลับไปหาครอบครัว
2. เห็นว่าเกมตัวเองจะได้ปรากฎตัวใน iStudio บางสาขา รู้อยู่ว่าคงจะเป็นภาพไอคอนเล็กๆไม่มีอะไรมาก ให้เพื่อนถ่ายรูปมาให้ดูก็อาจจะได้ แต่.. รู้สึกว่ามันเป็น life event อย่างนึงเลยว่ะ อยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง เกมของเราเอง ปั้นขึ้นมาเองไม่มีนายทุนอะไรเลย มันมาถึงจุดนี้เลยนะ
3. หลังจากที่ตัดสินใจจะกลับไทยไปขายอาหารเช้า พอลองเซิจแล้วพบว่าการขายที่ทางเท้ามันผิดพอสมควร ก็เลยจะลองไปดูตลาดเช้าต่างๆดูด้วย แล้วก็จะลองไล่ค้นคว้าดูว่าถ้าจะขายต้องทำไง ต้องรอคิวมั้ย ถ้าจองเลยแล้วยาวถึงช่วงเรียนจบกว่าจะได้ไรงี้จะได้พอดีเลยด้วย
4. เอาของที่เพื่อนไทยฝากซื้อกลับไปให้
5. ขากลับมาจะเล็งให้ตรงงานโดจินชิที่โตเกียว แล้วบินไปโตเกียวเลยแล้วค่อยนั่งบัสกลับมามหาลัยข้ามคืน
6. ถ้ามีโอกาสจริงๆอยากจะลอง simulate ชีวิตไปตลาดตอนเช้าแล้วกลับมาทำเกมดูว่าจะไหวมั้ยถ้าต้องทำแบบนั้นไป 1 ปีหรือมากกว่านั้น

ทั้งหมดนี่ ราคารวมแล้วประมาณ 70000 เยน มันแพงนะ!! แต่พอคิดว่าเดือนนึงได้ 140,000 แล้วเราไม่ค่อยได้ใช้อะไรอยู่แล้วก็เลยกลายเป็นว่าตัดสินใจง่ายขึ้น... (บางคนไม่มีโอกาสเท่าเรา ได้เดือนละ 65000 เยนด้วยซ้ำ พอคิดว่าซักเดือนเหลือเท่านั้นก็คงไม่ผิดปกติอะไรก็เลย อืมมมม) ถ้าเป็นสมัยทำงานอยู่ไทยได้เดือนละ 20000 บาทนี่คือไม่คุ้มแน่นอนราคานี้ แต่อยู่ไทยมันก็ไม่มีอะไรให้จ่ายขนาดนั้นตามไปด้วยแหละ... พอได้เงินมากขึ้นก็มีเรื่องให้จ่ายเพิ่มขึ้นจริงๆเพราะดันมาอยู่ญี่ปุ่น

ส่วนเที่ยวญี่ปุ่นคงคิดว่าจะกลับมาล้างแค้นทีหลังจากประเทศไทยด้วย JR Pass สุดเทพ

ปีนี้ได้ดูซากุระแค่ที่แถวๆ ม. ปีที่แล้วดั้นด้นไปหลายที่ แต่ปีนี้ดูแบบ simpleๆ ก็ดีเหมือนกัน ผ่านต้นไหนก็ดูต้นนั้น (แต่ตามจริงก็อยากไปนั่งรถไฟสายที่ผ่านอุโมงค์ซากุระงี้เหมือนกันนะะะ)





ซากุระใน ม. กับหน้า ม. ก็สวยดีนะ!

ส่วนตั๋วบุฟเฟต์รถไฟที่วาดฝันว่าจะใช้ให้รางวัลตัวเองก็ขายทิ้งไปแล้ว ใช้ไม่ทันช่วงเวลา ในที่สุดมันก็ต้องจากไป แต่เอาน่ะไว้มาใหม่ด้วย JR Pass มันจะเจ๋งกว่านี้อีก!



อันนี้ไปงานโดมา งานก็เล็กๆ แต่ก็ทำให้ได้มาเมืองเงียบๆ.. เจอทางเดินสวยๆด้วยเลยถ่ายรูปมา นี่ก็คือการท่องเที่ยวหรือเปล่านะ ถึงทางเดินนี่มันจะไม่มีชื่อ ไม่มีคนมาเที่ยวก็เหอะ แต่ด้วยความรกของใบไม้บอกว่าแทบไม่มีใครผ่านมา แค่เดินผ่านแล้วมันก็รู้สึกผจญภัยสนุกๆดี (ไว้จะจำไว้ไปใช้กับในเกมว่าของแบบนี้มันทำให้รู้สึกสนุก 555)





และที่สิ้นสุดทางเดินคือสถานีรถไฟเพราะจะกลับบ้าน ก็ได้เจอเซอร์ไพรส์สุดท้ายคือทางเดินซากุระ!! เดินแค่ 5 นาทีก็หมด เพราะมันไม่มีชื่อเสียงอะไร แต่ก็รู้สึกดีใจที่มันเซอร์ไพรส์นี่แหละ ไม่คิดว่าจะมีอะไรแบบนี้ที่สถานีบ้านนอก



เห็นไอ้พูมชอบไปถ่ายภาพในที่ที่เป็นจุดเด็ดหลายจุด อยากจะบอกมันเหมือนกันว่าแบบนี้ก็สนุกนะเว้ยยย แต่มันไม่รับประกันไงว่าจะเจออะไรดีๆรึเปล่า

แต่ส่วนตัว ใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นก็ไม่เลวเหมือนกัน ไปงานผับบ้าง ไปงานโดจินชิบ้าง นัดเจอกันกับเพื่อนญี่ปุ่นในเน็ตบ้าง ดูดิบๆดี ถึงเจอกันก็เล่นแต่มิวสิคเกมก็เหอะนะ 555


Update: ผ่านมาจากตอนที่นั่งพิมพ์ blog เพื่อตัดสินใจเมื่อตี 4 เมื่อคืน ตื่นมาวันนี้ก็มานั่งตัดสินใจอีกรอบว่าจะคลิกซื้อตั๋วมั้ย... เมลไปหา อ. ตอนตี 5 อ. ตอบกลับมาประมาณเที่ยงๆ อ. ก็ไม่ได้ห้ามกลับนะ

แต่อยู่ๆก็นึกได้ว่า งาน research นี่ถ้าขนกลับไปคงไม่ได้ทำแน่เลย เราเป็น researcher ที่ยังไม่ได้ทำตามหน้าที่ให้สำเร็จด้วยซ้ำ จากประสบการณ์กลับไทยถึง 4 ครั้งของปีที่แล้ว หอบงานกลับไปทำทุกที แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรทุกที แล้วพอลองคิดว่าถ้าเดือนนี้หายไปโดยไม่ได้งานนี่ อันตรายมากแน่ๆว่าจะไม่จบจริง

พอคิดว่าจะได้กลับไทยทีไรมันก็ตื่นเต้นทุกที ละพอมีเรื่องงานเข้ามากั้นก็จะแก้ตัวเองว่าหอบกลับไปทำก็ได้ แต่รอบนี้รู้พอสมควรแล้วว่าเป็นแค่ข้อแก้ตัว เอากลับไปไม่ได้ทำจริงเลย แล้วช่วงนี้ถ้าไม่ได้ทำอีกนี่มันจะแย่มากๆ

กลายเป็น blog อีกอันที่สุดจะสับสนไปซะแล้ว แต่ก็ดีนะมาอ่านทีหลังอาจจะรู้สึกแปลกดีที่ใจมันเปลี่ยนไปมาได้ชั่วข้ามคืนขนาดนี้ เอาเป็นว่าสมัคร JLPT แล้วตั้งใจอ่านญี่ปุ่นไปสอบกับตั้งใจทำแลปดีกว่านะ เฮ่ออ แบบนี้กลับครั้งต่อไปก็คงจะเมื่อเรียนจบแล้วเลยล่ะมั้ง.......

เรื่อง iStu คงต้องรอดูภาพถ่ายจากเพื่อน ส่วนสงกรานต์ก็คงปิด Facebook ตลอดช่วงเดี๋ยวเห็นแล้วจะเจ็บปวดเหมือนช่วงปีใหม่ที่ไม่ได้กลับเหมือนกันขณะที่เพื่อนๆได้มาเจอกัน ส่วนงานโดจินชิก็คงจองบัสไปกลับตามปกติเอา

นี่คือคำว่าหน้าที่สินะ... ทำอะไรตามใจตัวเองมากไปก็คงไม่ดีแหละ




No comments:

Post a Comment