Thursday, December 7, 2023

ชอบถูกคนจริงๆด้วย T T

เมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา (เขียนย้อนหลัง คิดตั้งแต่เย็นวันนั้นละว่าจะเขียนแต่ผลัดวันไปๆมาๆ เวลาไวจัง) ได้โอกาสโดยบังเอิญสุดๆเจอคนที่เคยชอบ จริงๆก็ไม่ใช่แค่เคย หลังจากโดนหักอกเสร็จแล้วเป็นเพื่อนกันต่อไปตามเดิมมาจนตอนนี้ ก็ยังชอบเหมือนเดิม

รู้สึกมาตั้งแต่ตอนไหนก็คงตั้งแต่เรียนเลย ยังจำทุกโมเมนต์นานๆทีที่ได้อยู่ใกล้ๆกันได้หมด ตอนเรียน ตอนทำโปรเจคต่างๆ ทั้งซ้อนจักรยาน ทั้งช่วงนึงที่ใช้ภาพโปรไฟล์เป็นภาพที่เราถ่ายให้ ทั้งงานห้องมืดตอนนั้น ทุกเที่ยวที่นานๆทีจะมาให้เห็นบ้าง

ถ้าไปดูไดอารี่ที่เขียนไว้ตอนนั้น (ซุกอยู่ในหอที่กรุงเทพ ถ้าผมตายไปแล้วใครผ่านมาเห็น blog นี้ เอาไปให้เค้าอ่านหน่อย เล่มเล็กๆปกลายจุดอยู่ลิ้นชักใต้ทีวี แต่ถ้ายังไม่ตายอย่าบุกเข้ามาเอานะ!)

จนหลังเรียนจบ จนก่อนไปเรียนโท แล้วสองปีที่อยู่นั่นก็คิดมาตลอดว่าจบกลับมาแล้วก็จะได้บอกซะที คิดว่าปั่นเปเปอร์ AR ไร้สาระนั่นจนจบมาได้ ก็เพราะมีแรงผลักดันโง่ๆแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ 555

พอกลับมาก็ไม่รู้จะเอาโอกาสไหนเนียนๆไปเจอกันได้ (ตัวเองเป็น game dev อยู่คาเฟ่มันจะเจอได้ไงถ้าไม่นัดตรงๆ แต่นัดตรงๆยิ่ง awkward เพราะเราไม่ใช่คนแบบนั้น) จนผ่านไปปีกว่า จนได้โอกาสเคลียร์ความในใจกับอีกคน ที่เคยชอบหน่อยๆเหมือนกัน แต่ตอนนี้ถึงไม่แล้วเราก็ยังคาใจว่าถ้าไม่ได้บอก (บอกเฉยๆว่าเคยชอบ) คงจะเสียดายไปตลอด เราก็ได้บอกไป แล้วเค้าก็ขอบคุณ เป็นอันจบเควสย่อยด้วยดี ถ้าตายวันถัดๆไปก็คงเสียใจน้อยลงครึ่งนึง เพราะยังเหลือเควสหลัก กับทุกคนที่เคยชอบในอดีตที่ผ่านมาก็บอกด้วยปากจริงๆหมดแล้ว

...แล้วมีโอกาสเนียนจริงๆเกิดขึ้น (เห็นตัวทีรู้สึกเหมือนเห็นโปเกม่อนในตำนาน คือคิดดูว่า ภาพเค้ามีแต่ในใจมาตลอด 2 ปีที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วบวกอีก 1~2 ปีหลังกลับไทย.. แบบ ตัวจริงเป็นงี้นี่เอง)

วันนั้นก็เลยลากๆมาท้ายแถวเพื่อนไม่อยากให้ใครได้ยินแล้วก็บอกเลย เรียนรู้มาเยอะแล้วว่าชีวิตไม่ได้เหลือเวลาพอที่จะรอโอกาสหน้า หลังจากที่รอมา 4-5 ปีตั้งแต่สมัยเรียน เรียนจนได้มาอีกใบ

เค้าก็งงว่าไปทำตัวให้ชอบตรงไหนไม่เห็นจะรู้เรื่อง คือแค่เห็น routine ปกติต่างๆของเค้าระหว่างเรียน ก็คิดว่าถ้าได้ใช้ชีวิตกับคนนี้ตลอดไปคงจะไปด้วยกันได้จนแก่แน่เลย แบบ ข้อเสียของเค้ากับข้อเสียของเรามาอยู่ด้วยกัน  มันคงโอเคมากๆๆ ไม่ต้องทำตัวให้ชอบซักครั้งก็ไม่เห็นเกี่ยวกัน เพราะถ้าคบกันจริงๆก็คงเป็นปกติๆแบบนี้แหละที่เราสบายใจ

จากนั้นก็เป็นหนึ่งในคืนที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตเพราะเย็นวันนั้นไม่ได้คำตอบ (กำลังจะไปกินเลี้ยงกันเฉยๆ ก็เข้าใจอยู่ว่าถ้าตอบเลยอาจจะ.. เกิดเรื่องไม่แน่นอน) แล้วเราก็บอกว่าพรุ่งนี้ค่อยตอบก็ได้ แต่ก็เน้นว่าอยากได้คำตอบเพราะครั้งที่ผ่านมาเหมือนไม่ได้คำตอบชัดเจน แล้วให้เราคิดเอาเองว่าตอบไม่ แล้วมันค่อนข้างเจ็บอยู่นะ แบบ เจ็บนานเรื้อรัง

แล้วหลังจากไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งรอคำตอบ ถึงเวลา 6-7 โมงเช้าก็ได้คำตอบผ่านทาง messenger ก็เป็นอันอกหักไปว่าเค้าไม่ได้คิดกับเราแบบนี้ (ขอบคุณจริงๆนะที่อุตส่าห์ตื่นมาตอบ)

จากตอนนั้น (อันนี้ถ้าไปอ่านไดอารี่ที่ว่า คงจะเป็น content เดียวกัน) ก็แบบแทบจะเดินเบี้ยวเลยเวลาไปทำงานคาเฟ่ (จำได้ว่าเป็นประมาณ 10 วัน ถ้าเซิจ Twitter (X) แล้วถูกวัน จำได้ว่าเพ้อเจ้ออะไรซักอย่างไว้เกี่ยวกับเดินไม่ตรง) เพราะเหมือนเป้าหมายที่ยึดมาตลอด 4-5 ปีมันโหว่ไปซะงั้น แต่มันก็ฟินนะที่เราจบผ่านช่วงชีวิตใหญ่มาได้อีก milestone นึง แล้วที่สำคัญคือได้คำตอบจริงๆ เราก็เป็นเพื่อนกันต่อไป

แต่เพราะเราไม่ได้ชอบเค้าเพื่ออยากได้เป็นแฟนเฉยๆ เราชอบเค้าเพราะเค้าเจ๋งจริงๆ ความชอบมันก็ดันไม่ได้หายไปไหนกับแค่อกหัก (ไม่เหมือนกับการไม่ move on) โชคดีที่ต่อจากนั้นก็มีเรื่องจิปาถะได้คุยเล่นกันใน Line มาเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เด้งมาแล้วเป็นชื่อเค้า มันแบบโคตรดีใจ กลิ้งสิบตลบบนเตียง made my day มากๆ 555555 เหมือนคนบ้าเลย

มีเรื่องไร้สาระนึงต่อมาคือ Netflix มันเริ่มจับครอบครัวปลอม 555 แล้วเกี่ยวกันยังไง คือรู้สึกว่าเรากำลังจะเสียโอกาสอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ที่จะได้คุยกับเค้าต่ออย่างเป็นธรรมชาติอะ 55555 ติงต๊องจริงๆแต่ก็เสียใจจริงๆ แต่ก็นะ กติกาก็คือกติกา ยอมสมัครไอดีบ้านของแท้แต่โดยดี (ซึ่งก็มีแต่แม่ดู)

อันนี้ยังไม่ถึงประเด็นเลยนะว่าชอบถูกคนอะไร แต่ได้โอกาสเหลือเชื่อประทานมาโดยเควส DBD ส้นตีนที่จะได้เห็นตัวเป็นๆอีกครั้ง (โปเกม่อนในตำนานอีกครั้ง) แล้วก็นี่แหละ พอไปเห็นตัวจริง แม้จะแค่ไม่กี่นาที แต่เป็นไม่กี่นาทีที่ build up มาเป็นปี แถมยังเป็นโอกาสที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนด้วยนี่สิ (ไม่เหมือนเย็นวันบอกชอบนั้นที่เพื่อนนัดกันก็เลยเตรียมใจมาหน่อยแล้ว)

จะร้องไห้ (แต่เก็บไว้ไปกรี๊ดหลังกลับห้องดีกว่า)

เค้ายังดู น่ารัก ชิบ หาย เหมือนเดิม นิสัยเอื่อยเฉื่อย เรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม เป็นคนเดิมตามที่เราวาดภาพในหัวไว้ทุกครั้งที่แชทใน Line ตั้งแต่ Netflix ยังไม่ยึดครอบครัวคืน แชทไปกลิ้งๆจิกหมอนอยู่คนเดียวในห้องไป คนเดิมที่เราคิดว่าอยากใช้ชีวิตด้วยกันตั้งแต่ตอนนู้นนนน

แต่ยังไงเราก็ต้องเก็บความรู้สึกนี้ไว้แล้วทำตัวปกติต่อไปเดี๋ยวเค้าว่าบ้า (ขอบคุณคุณเพื่อนที่ขับรถด้วยครับที่ทำให้วันสุดพิเศษนี้เกิดขึ้นมาได้)

ตอนนั้นแหละที่รู้สึกดีมากๆ ว่าเราแม่งชอบถูกคนจริงๆด้วย (ติดนิดเดียวแค่เค้าไม่ได้คิดกับเราแบบนั้นอะ 555) ถ้าเวลามันจะผ่านมาขนาดนี้ ไม่ได้เห็นกันนานขนาดนี้ มาเห็นอีกทีตอนอายุ 30+ ป่านนี้แล้วยังดีใจเหมือนกลับเป็นวัยรุ่น เราคงชอบถูกคนตั้งแต่ 6-7 ปีที่แล้วแหละ

คิดอยู่ว่าสถานะแบบนี้มันก็ดีนะ ถึงจะไม่ดีที่สุดแต่ดีกว่าแบบอื่นๆที่เป็นไปได้อีกหลายแบบเยอะ อาจจะฟังดูเว่อร์ แต่รู้สึกฮึดอยากมีชีวิตต่อไปจนกว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีก เจอกันเฉยๆ เห็นหน้ากันเฉยๆนี่แหละ

แล้วทำไมเพิ่งมาเขียนเอาป่านนี้ คือเพิ่งเอามาเคลือบ (ร้านก็เก่งด้วยที่ประกอบรอยฉีกให้ใกล้เคียงที่เดิมได้...) เราเก็บของที่เคยได้จากเค้าทุกชิ้น (เคยได้ภาพ portrait ตอนนี้ภาพนั้นก็เก็บอยู่ใกล้ๆไอ้ไดอารี่ลายจุดนั่นแหละ) รวมทั้งของคนที่ผ่านมาที่เคยชอบด้วย เช่นอมยิ้มรสส้มที่ยังเน่าอยู่ในเป้ตอนนี้โดยที่ไม่มีมดตัวไหนมากินได้ตลอด 6-7 ปี


ปล. ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆชิ้นนี้ก็ยังอยู่ เข้าใจว่าปากกาโง่ๆพังเค้าเลยโยนเปลือกให้เราไม่ได้คิดอะไร แต่เราดันชอบเค้าอยู่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แล้วบนปากกามีคำว่า I LOVE YOU (เป็นลายภาษาอังกฤษ random โง่ๆตามสไตล์เครื่องเขียนเถื่อนๆ ไทยๆ) ที่เค้าคงไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนขนาดนั้นแค่เอาขยะให้เรา เออ แต่เราคิดนี่สิ 5555555555555555555 เก็บขยะติดตัวมาตั้งแต่วันนั้น ไปเรียนโทที่ญี่ปุ่นด้วยกันกับซากอมยิ้มและซากปากกา 55555

(อันที่จริงไอ้ขนมสีชมพูนี้ชื่อภาษาญี่ปุ่นก็ชวนคิดมากเหมือนกัน ว่าเรายังมีหวังรึเปล่าถ้าเราบอกเค้าอีกที แต่คิดว่าเค้าคงไม่ได้อ่านออกขนาดตั้งใจสื่อความหมายซับซ้อนขนาดนั้น แล้วอีกอย่าง เค้าให้ทุกคน 555)

Saturday, January 28, 2023

ญี่ปุ่นอีกครั้ง

ได้ไปญี่ปุ่นอีกครั้งหลังจากตั้งแต่จบโท! ตื่นเต้น ติดโควิด ทำงานหาเงินมานาน

อย่างแรกที่นึกถึงก็ต้องเป็นเจ้าอมยิ้มเนี่ย ที่เปลี่ยนกระเป๋ามากี่ใบก็พาย้ายตามมาด้วย (โชคดีที่จนป่านนี้มดก็ยังหาไม่เจอ เพราะเป้เคลื่อนที่ตลอด...) ทุกครั้งที่ย้ายกระเป๋าก็จำได้ว่าถ่ายรูปประมาณนี้ไว้ 

อย่างที่สองก็คงเป็นทริปนั้นที่โดดแลปไปกับเพื่อน ทริปนั้นชอบมาก เหมือนฝันกับหลายๆอย่าง ทั้งเขียนเมลสุดซึ้งหาอาจารย์ให้ปล่อยให้มาเที่ยว จังหวะต่างๆ และเพื่อนๆในกลุ่ม

รอบนี้ไม่ได้ย้ายกระเป๋า แค่รู้สึกอยากเขียนแบบ blog เป็นที่ระลึกไว้บ้างว่ามันยังอยู่ เผื่อภาพที่ผ่านๆมาหายไปอย่างน้อยก็จะได้ยังมีอยู่ในเน็ต ซักภาพนึง 555