Thursday, May 4, 2017

ทริปญี่ปุ่นครึ่งหลัง - ลาก่อน เฉาก๊วย (2/3)



วันนี้ (จริงๆเขียน blog วันนึงให้หลัง แต่จะเขียนวันนี้ให้หมายถึงเมื่อวานของวันนี้ งงมั้ย 55) จริงๆว่าจะไป co working space ที่ Shibuya

แต่ที่คิดๆมานาน... ก็คือ จะซื้อ tablet วาดรูปใหม่ดีมั้ย

คือคนมาญี่ปุ่น จะคิดแต่ฝากซื้อรองเท้า Onitsuka บ้าง Anello บ้าง เครื่องสำอางค์บ้าง แต่อย่างนึงที่คนคิดไม่ถึงคือ Wacom ราคาถูกกว่าไทยมากครับ (16000 บาท -> 12000 บาท)

แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแผนครั้งใหญ่ เพราะอีก 2 วันที่กลับเที่ยวบินมัน 9 โมงเช้า แล้ววันนี้ตื่น 7 โมง ถ้าวันสุดท้ายตื่นแบบนี้ต้องชิบหายแน่นอน

ก็เลยเกิดแผน extreme ขึ้นมาอีกอย่างคือ cancel โรงแรมคืนสุดท้าย แล้วลองไปนอนสนามบิน Narita กันดีกว่า!

สมัยเรียนนอน Kansai มาหลายคืนทุกครั้งที่กลับมาญี่ปุ่นจากไทย (Air Asia X มันถึง 5 ทุ่ม ออกไปไหนเท่ากับตาย) จนรู้ตำแหน่งโซฟา เก้าอี้ และปลั๊กเทพแล้ว ก็คิดเหมือนกันว่าอยากรู้ว่า Narita จะเป็นไงบ้าง

โอเคเลยตกลงตามนั้น วันนี้เลยเปลี่ยนจาก co working เป็นตัดสินใจเรื่อง tablet ซะที เพราะญี่ปุ่นคงไม่ได้มาง่ายๆอีก

จริงๆก่อนมาไม่ได้คิดจะซื้อเลย แต่เพิ่งมานึกออกว่าประเทศนี้ Wacom ถูกนี่นา..




แต่ความคิดที่มีมาตลอดคือ "ไม่ใช่โปรซะหน่อย ไม่ต้องถึงระดับ Intuos หรอก" (สมัยก่อนอันกากกว่าชื่อ Bamboo แต่เดี๋ยวนี้เป็น Intuos หมดแล้วแยกกันด้วยคำว่า Pro แทน) ที่สำคัญ Bamboo มันไม่พังอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ก็ใช้ได้เหมือนตอนซื้อใหม่ 100%

ใครไม่ได้ติดตาม Wacom คือ Intuos (Pro) นี้จะรับแรงกดได้ 2048 ขั้น จาก 1024 ของ Bamboo แล้วก็ปุ่มลัดเยอะกว่า มี scroll wheel ทำให้ไม่ต้องแตะคีย์บอร์ดได้ แล้วก็รองรับ Tilt

Tablet Bamboo ที่ใช้อยู่มันมีเรื่องราว blog นี้จะ devote ให้มันโดยเฉพาะ เลยจะขอเล่าหน่อย

ตัวเองก็เกือบจำปีไม่ได้ละ แต่ต้องขอบคุณความบ้าถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยของตัวเอง กับ Amazon Cloud Drive ที่จัดภาพที่โยนใส่มันไว้ตามปีให้ มันเป็นปี 2011



ขี้เกียจเซ็นเซอร์หน้า ขอโทษเพื่อนๆด้วย 55555

ตอนนั้นอยู่ปี 2 กำลังทำเกมไปแข่ง NSC กับเพื่อนๆอยู่ ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็น Exceed7 (ที่ตอนนี้จริงๆเหมือนเหลืออยู่คนเดียว - -)

วันนึง อยู่ๆไอ้เบ็นมันก็ซื้อ Wacom Bamboo Pen!!!! มาให้เป็นของขวัญวันเกิด !!!







ตอนนั้น ไม่รู้มันคิดยังไงเหมือนกันถึงกล้าซื้อของบ้าพลังแบบนี้มาให้เป็นของขวัญ! แล้วก็เป็นของที่อยากได้มากๆๆมานานแล้วด้วย ตอนนั้นโคตรดีใจ ถึงจะไม่เคยอยากจะเป็นนักวาดอะไรก็เหอะ แต่วาดภาพในคอมได้มันน่าสนุกดี จะได้ใส่สีใส่เอฟเฟคและ undo กันให้สะใจ ตั้งชื่อให้มันว่าเฉาก๊วย เพราะคิดชื่ออะไรที่สีดำๆไม่ออกแล้ว

ภาพที่วาดแรกๆตอนนั้น เอากลับคืนมาไม่ได้แล้วเพราะไปฝากไว้กับเว็บฝากรูปธรรมดา แต่เป็นภาพมิวสิคเกมรูป Suee เล่นตู้เกม, ภาพตัวละครจากเพลง Continental ของ Pop'n Music แล้วก็ Drum Town วาดลงในกระทู้บอร์ด Jammania ซึ่งตอนนี้หายไปแล้ว

ภาพแรกที่ยังดูได้อยู่ก็คือ ภาพที่วาดไปทำบัตร K-My (2011)



(http://pyasry.exteen.com/20111230/entry)

จากนั้นในปี 2012 หลังจากเกมโป้งแปะชนะเลิศ NSC ก็ได้ใช้วาดภาพ fan art เกมตัวเองขึ้นมาภาพนึง



(http://pyasry.exteen.com/20120324/entry)
(มีใน Deviant Art ที่ไม่ได้ใช้แล้ว http://pyasry.deviantart.com/art/Hide-and-seek-292053013)

แล้วก็มีส่งภาพไปร่วมงานหนังสือ doujin DJMAX ที่เกาหลีสองเล่ม

(กำลังวาด http://pyasry.exteen.com/20120311/taiko-ds)

ซึ่งเล่มแรกส่งไปสองภาพติดทั้งคู่ ภาพไอ้เบ็นกับไอ๊ที่ชวนมาวาดด้วยกัน ก็ติดกับเขาด้วย ตอนนี้เริ่มเล่น Pixiv แล้ว ทั้งสองภาพนั้นก็เลยอยู่ใน Pixiv



http://pyasry.exteen.com/20120810/dive-into-emotional-sense

ในเล่มที่สองมีธีม parody ก็ส่งไปภาพนึง ติดเหมือนกัน เย้!



(http://5argon.blogspot.jp/2013/11/parodyjmax-2.html)

ต่อมาก็มีวาดเรื่อยเปื่อยบ้างซึ่งไปดูได้ใน Pixiv

ผ่านมาจนถึงสมัยเรียนจบ ก็ยังที่สำคัญมากอีกอย่างก็คือ Duel Otters !

ในเกมนี้เฉาก๊วยได้ออกโรงขนานใหญ่ เพราะได้ใช้วาดป้ายเกมทุกเกม และฉากหลังเกมทุกเกม (ยกเว้น Swipe Bomb และ Cookie ที่ไอ๊วาด) กับพวก prop ของฉากเลือกเกมแล้วก็ result ด้วย กลายเป็นหน้าตาของเกมเลย ครั้งนี้ลองใช้เส้นหนาๆโง่ๆ เพราะวาดสวยๆไม่เป็น แล้วก็รู้สึกว่าจะเวิร์ค มีทฤษฎีว่าความสวยจริงๆแล้วมันเป็น relative quantity ถ้ามันโง่หมดอยู่ด้วยกัน มันก็จะสวยเข้ากันเอง 555

 

 

สมัยมาเรียนญี่ปุ่น ก็เอาเฉาก๊วยมาด้วย ซึ่งได้ใช้ทำ Duel Otters ต่ออีก 1 เกมคือ Pulley (ทดลองใช้แปรง oil ของ Clip Studio Paint) แล้วก็ได้ใช้วาดภาพตัวละครที่ใส่อยู่ในเพลง Exargon, Whiteout แล้วก็ ある日、DTM妖精の夢を見た (วันหนึ่ง ฉันฝันเห็นนางฟ้า DTM) Exargon กลายเป็นงานแรกที่น้องเฉาก๊วยได้ออกโรงสร้างวิดิโอ (ส่วนวิดิโอเปิดตัว Duel Otters ไอ้เบ็นเป็นคนวาดฉากเลยไม่ได้ออกโรง)






มีภาพที่ส่งไปร่วมกิจกรรม fan art ของเกม Cytus ที่จัดขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการ



แล้วก็วาด Jacket สำหรับงานแข่ง K-Shoot อีก 2 อัน

 

สองภาพนี้ทดลองวาดดินสอแล้วค่อยสแกนมาลงสี

จนสุดท้ายก็เรียนจบโท.. และแล้วก็มาถึงภาพสุดท้าย คือ Key Visual แรกของเกมใหม่ Mel Cadence ที่จะทำไว้แปะเป็น header พวก social channel ต่างๆให้คนสามารถมโนได้ว่าเกมน่าจะเกี่ยวกับอะไรระหว่างที่เราไปทำเกมต่อ



หลายๆอย่างในชีวิต เป็นของที่ลองแล้ว "ไม่ติด"
ปิงปอง ฟุตบอล บาส ว่ายน้ำ เปียโน กีตาร์... มีกี่อย่างที่ได้ลอง แล้วก็ดีนะที่ได้ลอง แต่ไม่ได้อยู่กับเรามาจนวันนี้

แต่ก็มีบางอย่างในชีวิต ที่ค้นพบเจอแล้ว "ติด"
มิวสิคเกม โปรแกรมมิ่ง แบดมินตัน ถ่ายรูป แต่งเพลง ปากกา เครื่องเขียน 
ทุกอย่างเป็นชิ้นส่วนสำคัญของชีวิตที่ "เจอเข้าแล้ว"

เอ๊ะ คิดไปคิดมา Wacom Bamboo อันนี้ ก็ใช้มาพอสมควรเลยนะ
ถึงจะไม่ถึงกับระดับมืออาชีพเหมือนฝ่ายอาร์ทในสตูดิโอเกมอะไรงี้ก็เหอะ บางปีไม่ได้วาดซักภาพเลยก็มี

แต่ดูๆไป ก็ค่อนข้างจะ "ติด" แล้วล่ะ ตั้ง 6 ปีผ่านมา ก็ยังมีภาพอยู่ แสดงว่าไม่น่าจะหลุดออกไปง่ายๆ

ยังไงก็ต้องขอบคุณไอ้เบ็นจริงๆ วันนั้นมันไม่ใช่แค่ของขวัญวันเกิดแล้ว แต่มันเป็นให้โอกาสค้นพบชีวิตอีกส่วนที่ไม่เคยเอะใจมาก่อน

ใครจะหาของขวัญมีราคาหน่อย นอกจากเสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น เครื่องเกม ก็ขอแนะนำ Wacom เป็นตัวเลือกนึงเลยครับ... (ตอนนี้ชื่อ Intuos Draw ราคา 3300 บาทกว่าๆ) แม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่ได้ฝันเป็นนักวาดรูปก็ตาม

เข้าเรื่อง ที่พิมพ์ไปทั้งหมดคือ กำลังคิดแบบนั้นจริงๆระหว่างนั่งอยู่แถวๆ Akiba แล้วยังนึกอยู่เลยว่าจะตัดสินใจอัพเกรดเป็น Intuos Pro ดีมั้ย

ตอนนี้เราก็ยังไม่ใช่นักวาดภาพมืออาชีพไม่ใช่รึ แล้วของเดิมก็ยังใช้ได้ 100% นี่นะ (จริงๆนะ ถึกมาก)

ระหว่างคิดก็เลยไปเดินงาน Eshi 100 แถวนั้น ซึ่งครั้งแรกเราได้ไปสมัยนั้นที่จัดที่ Kyoto

Eshi ก็คือภาพแนวโมเอะๆสวยๆ CGๆ ที่เห็นได้ในพวกการ์ดเกมมือถือ มีศิลปิน Eshi วาดภาพมาอัดกรอบใหญ่เท่าตัวให้ชมชัดๆเต็มๆตา



หลังเดินครบรอบก็ไม่ได้คิดว่าซักวันจะวาดได้ขนาดนั้นหรอกนะ 55 แต่ก็ทำให้รู้สึกอยากอัพเกรดขึ้นอีกหน่อย

ต่อมาก็เข้าไปดูข้อมูล Wacom พบว่ามันเพิ่ม update เมื่อมกรา 2017 ที่ผ่านมานี่เอง! เอาแล้วสิ ความอยากซื้อทวีคูณ

แต่ทว่า ไซส์ S มันไม่อัพเกรดครับ คือเป็นคนชอบไซส์เล็กๆมาก แต่ Intuos Pro S ยังคงเป็นรุ่นเดิมอยู่
ก็เลยไปดูของจริง พบว่าอัน M กับ L ที่อัพเกรดแล้วมันช่างสวยเหลือเกิน

แล้วที่สำคัญ ปากกาเปลี่ยนเวอร์ชั่น 2 ความละเอียดอัพเกรดเป็น 8192!! กับมี Bluetooth device ฝังอยู่ในตัวไม่ต้องติดเพิ่ม แล้วก็หัวฝั่ง tablet เปลี่ยนเป็น USB-C เสียบแน่นกว่าเดิม ชาร์จแบต bluetooth ได้ สลับข้างได้ (ตัว Bamboo เก่า ถอดไม่ได้) 

แล้วก็เหตุผลที่ S ไม่อัพเดท น่าจะเพราะตอนนี้ M ขนาดเกือบเท่า S ! คือเขาตัดตรงที่ไม่ใช่ที่เขียนออกไปจนมาเท่า S ได้เลย แล้วก็บางกว่าอีกต่างหาก แต่ก็เท่ากับว่าต้องเสียเงินเยอะ ขนาด S 22000 เยน แต่ M ที่อัพเดทใหม่ 39000 เยน.. (ใช้ passport ไม่โดน Vat !)

แต่เรา...​ ไม่ใช่โปรนะ...

ความคิดนี้ไม่ได้ใช้กับเรื่องแต่งเพลงกับโปรแกรมมิ่ง สองอย่างนั้นแอบคิดจริงๆว่าอยากเก่งให้เป็น profession ได้ เรื่องวาดภาพนี้ไม่เคยอยากให้มันไปถึงระดับนั้นเท่าไหร่ อนาโตมี่ perspective อะไรก็ไม่ค่อยเข้าใจ

แล้วก็ เราเป็นโรคถ้าของไม่พังเป็นชิ้นๆจริงๆจะไม่ซื้อใหม่เด็ดขาด โน้ตบุ๊ค Dell ก็ใช้จนแบตเหลืออายุ 3 นาทีกับเครื่องช้าเป็นเต่า มือถือขาวดำตอนนั้นถ้าไม่ตกเครื่องซักผ้าคงไม่ได้เปลี่ยนเป็น Android ส่วน iPod น้องใบตองก็ยังใช้อยู่มาตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ตอนนี้ช้าซะจนโปรแกรม dictionary ญี่ปุ่นยังช้าจนน่ารำคาญแต่ก็ทนใช้อยู่ 555

ที่สำคัญมันเป็นของขวัญวันเกิดยิ่งไม่อยากเปลี่ยน

แต่ในที่สุด พอนึกถึงเกม Mel Cadence ที่ทำอยู่ เกมนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญไม่ใช่หรือ ว่าเราจะทำได้จริงๆขนาดไหน แล้วภาพที่ไม่มีเงินจ้างก็ต้องวาดเอง ที่กะจะกดดันตัวเองให้วาดภาพเก่งขึ้นเพราะต้องเสนอภาพให้กับโลก ถ้ามีนี่ เราอาจจะ... ไปได้ไกลกว่าเดิม

ไม่ถึงระดับ professional แต่อาจจะไปได้ไกลกว่าเดิม...

อยู่ที่นี่ราคาถูก...

ไม่รู้จะได้มาอีกเมื่อไหร่....

8192...

และแล้วก็ตัดสินใจ ไปกด bank ญี่ปุ่นอีกแล้ว เพราะไม่ได้เตรียมใจมาตั้งแต่ต้น (เงินที่เตรียมไว้ทำ Mel Cadence หลุดจากหลัก 3 แสนเยนเรียบร้อย..)



เทียบไซส์กับ S เก่าที่ไม่อัพเดทครับ ขนาดใหญ่กว่านิดเดียวเอง (แต่ราคาแพงกว่ามาก) สังเกตุขาวๆที่บอก working space ของ S มันเล็กมาก แต่ของ M มันเกือบเต็มแผ่นเลย ก็เลยกลายเป็นพกง่ายพอๆกัน แต่พื้นที่ลากปากกามากกว่า (ลากยาวๆได้แม่นขึ้น เล็กไปมัน sensitive กับ error มาก วาดตรงผมยาวอะไรงี้ต้อง undo บ่อย)


บางกว่าอีก 


อาาาาา



ฟหสดา่วสกดเา่วาสฟดเ่วฟาส่หกเวสาห่กฟดวสา่หกาสวด่


ฉลองด้วยมาเซะราเมง


กลับมาถึงรู 2200 เยน ก็เย้ สวัสดีครับ!!


กล่องสวย ฟีลกู้ดมาก เหมือนของ Apple


*0*


USB-C



ข้างหลังเป็น anodized aluminium สีดำครับ



ซักวันอยากจะเก่งเหมือน ero-manga sensei

หนำซ้ำยังโดนคอมโบจะเสียอีก 38000 เยนเนื่องจาก Adobe Subscription ที่ตอนนั้นหัวหมอสมัครราคานักเรียนไว้ก่อนเรียนจบมันกำลังจะหมดแล้ว (มันส่งเมลมาบอก) ราคาที่มันส่งมาให้โอน มันยังเป็นราคานักเรียนอยู่ (ปกติ 50000 กว่าเยน) ก็เลยคิดว่า คงต้องยอมจ่ายมัน กลัวไม่จ่ายแล้วสมัครทีหลังจะไม่ได้ราคานักเรียน 555 เลวจังเรา

แต่ Adobe นี้ทำแต่โปรแกรมดีๆ ถ้าไม่มี Photoshop, Illustrator ก็คงไม่มีเกม Mel Cadence แล้วถ้าไม่มี After Effects, Premiere ก็คงไม่มี MV ทั้งหมดที่เราทำมา ซึ่งเป็นความฝันตั้งแต่สมัยเล่น DJMAX แล้วอยากทำ MV แบบนั้นให้ได้บ้าง คนที่ทำโปรแกรมเทพๆขนาดนี้ ราคาเท่านี้ใช้ได้ทุกโปรแกรมไม่อั้นตลอดปีก็คิดว่าอยากให้เงิน 

ก่อนจากกันครั้งสุดท้าย เลยให้พี่ถ่ายรูปเฉาก๊วยจากประเทศไทยมาให้ เพราะไม่ได้เอามา


ภาพ Mel Cadence ภาพนั้นก็เป็นภาพสุดท้ายของเฉาก๊วยไป เหมือนทุกการจากกันที่เรามักจะไม่ได้เอะใจว่าอะไรตอนไหนจะเป็นครั้งสุดท้าย ตอนวาด ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนั้น แต่ยังไงวันลาจากมันต้องมีซักวัน แล้วมันเป็นวันนี้นี่เอง

อันใหม่ที่ซื้อมาค่อนข้างอยู่ในโซน top แล้ว มากกว่านี้ก็มี Cintiq ที่เคยใช้แล้วก็ไม่ชอบ (วาดบนจอรู้สึกลอยๆ แล้วก็พกยาก สายรุงรังเพราะมีสาย power กับ HDMI พ่วง) เพราะงั้นคงไม่มีเรื่องให้ซื้ออีกนอกจากจะใช้จนพังจริงๆแน่เลย 555

ขอบคุณทุกๆอย่างใน 6 ปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้ใช้อย่างสมบุกสมบันมาก แต่ก็ใช้เรื่อยๆขาดๆหายๆ ต่อจากนี้ก็คงเก็บไว้ไม่เอาไปขายที่ไหนเพราะเป็นของขวัญวันเกิด

อีกไม่นานจะเก่งขึ้นอีกแล้วเอาภาพใหม่ๆมาให้ดู! ภาพแรกจะวาดภาพอะไรดีนะๆๆ
ต่อจากนี้ ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ของชีวิตนั่นคือน้องถ่านหิน


เฉาก๊วย saga - fin -

No comments:

Post a Comment